วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Facebook Chat Emoticons


เดี๋ยวนี้ใครๆก็คงรู้จัก FB หรือ Facebook กันนะครับ เวลาเรา Chat กับเพื่อนหรือคนรู้ใจเราสามารถใส่ลูกเล่นแสดงตัวอารมณ์ (Emoticons) โดยการพิมพ์ Code ครับ ลองดูตามด้านล่างได้เลยครับ


 ลองดู Clip วิธีใช้ด้านล่างได้ครับ

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปืนอัจฉริยะ (Smart Gun)

เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าว BBC ได้รายงานข่าวว่า ทหารสหรัฐในอัฟกานิสถานได้รับการติดอาวุธชนิดใหม่ ที่เรียกว่า  ปืนอัจฉริยะ (Smart Gun)


ปืนอัจฉริยะชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า XM-25 ออกแบบสำหรับโจมตีพวกนักรบตอลิบันโดยเฉพาะ โดยประดิษฐ์ด้วยเทคโนโลยีคำนวณระยะห่างระหว่างกระบอกปืน ไปถึงเป้าหมายโดยใช้ระบบเลเซอร์ เมื่อ ลูกปืนถูกยิงออกจากปากกระบอก มันจะไปแตกระเบิดเหนือเป้าหมาย เพราะฉะนั้นไม่ว่าข้าศึกหลบอยู่หลังกำแพงหรือเครื่องกีดขวาง รับรองได้ว่าเป้าหมายไม่รอดแน่นอน

ทหารที่ถือปืน กระบอกนี้เพียงแต่ค้นหาเป้าหมาย จากนั้นก็ยิงแสงเลเซอร์ออกไปคำนวณระยะห่าง เมื่อรู้ระยะห่างแล้ว ก็ปรับระบบการยิง แล้วเหนี่ยวไก สมมุติว่าทหารเค้าวัดระยะได้ 500 เมตร เค้าจะปรับปืนระบบให้ยิงได้ 500 เมตร เมื่อเหนี่ยวไก ลูกปืนก็จะพุ่งออกไปไกล 500 เมตร และจะทะลุกำแพงหรือสิ่งกีดขวาดได้อีกประมาณ 2-3 เมตรและจะระเบิดออก ถึงเป้าหมาย ตายพอดี


กองทัพบกสหรัฐได้โม้อีกว่า ด้วยพลานุภาพของปืนอัจฉริยะกระบอกนี้ หน่วยทหารราบ ไม่จำเป็นต้องขอกำลังสนับสนุนทางอากาศ เพื่อให้มาระดมยิงหรือทิ้งระเบิดอีกต่อไป.....

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์การเป็นพ่อแม่

 ข่าวมาแรงติดอันดับเกือบ 1 เดือนเต็มๆ ของประเทศไทยของเรา คงไม่พ้นข่าว "คุณฟิล์ม และคุณแอนนี่" จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครทราบว่าลูกที่เกิดขึ้นเป็นลูกของคุณฟิล์ม จริงหรือไม่ และได้มีการเรียกร้องในตรวจ DNA แล้วการตรวจ DNA มันจะพิสูจน์การเป็นพ่อแม่ได้อย่างไรกันล่ะ ? 
 

ดีเอ็นเอ (DNA) เป็นชื่อย่อของสารพันธุกรรม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (Deoxyribonucleic acid) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิก (กรดที่พบในใจกลางของเซลล์ทุกชนิด) ที่พบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้แก่ คน, สัตว์, พืช, เชื้อรา, แบคทีเรีย, ไวรัส  เป็นต้น ดีเอ็นเอบรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นไว้ ซึ่งมีลักษณะที่ผสมผสานมาจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อน ซึ่งก็คือ พ่อและแม่ และสามารถถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตรุ่นถัดไป ซึ่งก็คือ ลูกหลาน เพราะฉะนั้น ลูก จะได้รับการถ่ายทอด DNA ครึ่งหนึ่งมาจากพ่อ และอีกครึ่งหนึ่งจากแม่

 PCR 
(Fig. from>>http://nobelprize.org/nobel_prizes/chemistry/laureates/1993/illpres/pcr.html )

การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ เราอาจเรียกชื่อภาษาอังกฤษว่า DNA paternity testing โดยทั่วไปจะมี 2 วิธีหลักคือ Polymerase chain reaction (PCR) และ Restriction fragment length polymorphism (RFLP)

 RFLP
(Fig. from>>http://science.howstuffworks.com/dna-profiling.htm/printable)

ทั้งสองเทคนิคใช้วิธีการแยกลำดับดีเอ็นเอที่แตกต่างกัน และบันทึกไว้ในแบบที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเทคนิค RFLP จะสามารถแสดงผลได้ชัดเจนกว่า เทคนิค PCR แต่ว่าต้องใช้จำนวนตัวอย่างมากกว่า และใช้ระยะเวลานานกว่ามาก ซึ่งเทคนิค RFLP ใช้ตัวอย่างถึง 20–50 นาโนกรัม และใช้ระยะเวลานานหลายสัปดาห์ เทคนิคนี้จะให้แผนที่ DNA ขึ้นมาคล้ายบาร์โค๊ดในขณะที่เทคนิค PCR ใช้ ตัวอย่างเพียง 2 นาโนกรัม และใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปเพราะสามารถทำเป็นเครื่องตรวจวิเคราะห์ DNA อัตโนมัติได้  ทั้งนี้การกำหนดว่าจะใช้เทคนิคใดขึ้นอยู่กับตัวอย่างที่ได้มา ถ้าหากเป็นตัวอย่างที่คุณภาพดีและใหม่ ผู้วิจัยมักจะใช้เทคนิค RFLP ซึ่งจะได้ผลที่ชัดเจนแน่นอนกว่า Ref>> http://nampadlab.igetweb.com/index.php?mo=14&newsid=79430

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โทรฟรีกับ Google



      Google เริ่มจะมาคุมตลาดการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (VoIP) อีกแล้วครับท่าน ข่าวล่าสุด Google ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง BEC NEWS ว่า ตอนนี้สามารถให้ผู้ที่ใช้ Email ของ google (Gmail) สามารถโทรศัพท์ผ่าน Gmail ได้แล้วครับ ซึ่ง Google ได้เปิดให้โทรฟรีได้ทุกที่ สำหรับ ประเทศอเมริกา และแคนาดา ถึงสิ้นเดือนนี้ สำหรับประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน  และเยอรมัน จะคิดนาทีละ 2 cent (ประมาณ 60 สตางค์) ใครที่อาศัยอยู่ประเทศเหล่านี้ลองเข้าไป web>> https://www.google.com/voice ส่วนประเทศไทยเราไม่รู้จะเปิดให้บริการเมื่อไรเหมือนกันครับ แต่ก็ลองเข้าไปเล่น Google Talk ก่อนก็ได้นะครับ เหมือนกับ Skype ที่สามารถคุยกับผ่าน Webcam ได้ แต่ Google Talk มีข้อดีกว่าตรงที่ไม่ต้องลง Program แต่สามารถใช้ Gmail คุยได้เลยครับ ลองเข้าไปดูที่  http://www.google.com/talk/  งานนี้ Skype เจองานหนักแน่เลยครับ


วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

3G คืออะไร? (ตอนที่1) จาก ME Newsletter

         หลายท่านคงได้ยินกันบ่อยๆ เดี๋ยวนี้ต้องใช้ 3G แล้วไอ้ 3G คืออะไรกันแน่ วันนี้ผมได้รับ E-mail จาก ME Newsletter ซึ่งเป็น Web สำหรับระบบประเมินคุณภาพสื่อสนันสนุนโดย CAT internet ของไทยเรา เค้าเขียนอธิบายเกี่ยวกับ 3G ได้ดีมากจึงขออนุญาติ Copy มา Post เลยนะครับ หวังว่าคงไม่ละเมินลิขสิทธิ์ นะครับ เพราะช่วยเอาความรู้มาเผยแผ่ ^_^


         คำว่า G ก็คือ Generation หรือ “ยุค” นั่นเอง ดังนั้น 3G ก็คือ “ยุคที่ 3” ของระบบการสื่อสารทางโทรศัพท์ไร้สาย แต่ที่มันจะทำให้งง ก็ตรงที่ว่าตัวเลขของยุคต่าง ๆ ที่ว่านี้มันมีซอยออกมาเป็นจุดทศนิยมด้วย แบบ ยุคที่ 2.5 เอย 2.75 เอย ซึ่งมันก็คือการเพิ่มเติมเทคโนโลยีเล็ก ๆ น้อย ๆ กันเข้าไป ให้นึกถึงรถยนต์ ที่ผลิตออกมาแล้วก็มีการทำ Minor Change แบบว่า เปลี่ยนไฟหน้า ดัดกันชน เพิ่มสีแปลก เปลี่ยนหลอดไฟ ติดปุ่มที่พวงมาลัย ฯลฯ แล้วก็เอามาโปรโมทขายกันใหม่ ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนรุ่นครั้งยิ่งใหญ่ คือ Model Change อีกครั้งหนึ่ง... อะไรทำนองนั้นเลย แต่ก่อนอื่น เพื่อความเข้าใจใน ยุค 3G ก็จะขอพูดถึงช่วง ยุค 2.0 - 2.75 ก่อนแล้วกัน เพราะเป็นยุคที่ประเทศไทยเราใช้อยู่ตอนนี้ ภาษารถยนต์คงประมาณ “Minor Change รุ่นสุดท้าย” อะไรแบบนี้
          ยุค 2G ก็คือยุคที่โทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนเป็นระบบ Digital คือ ก่อนหน้านี้ถ้าใครเกิดทันเมื่อ เกือบ 20 ปีที่แล้ว ประมาณยุคโทรศัพท์ รุ่นกระติกน้ำ ใหญ่มาก ๆ จะเป็นโทรศัพท์แบบยุคที่ 1 คือ ยังไม่ได้เป็นระบบดิจิตอล ตอนนั้น ใครโทรมาก็จะไม่เห็นเบอร์ ส่ง SMS ก็ไม่ได้ พูดง่าย ๆ เหมือนโทรศัพท์บ้านพื้น ๆ คือโทรศัพท์ได้อย่างเดียว ภาษาของคนขายเขาเรียก Voice Service คือบริการด้านเสียงอย่างเดียว และแล้ววันดี คืนดีผู้ให้บริการต่าง ๆ ก็มีการประกาศกันว่า "มันมาแล้วนะยุค Digital GSM ฯลฯ" หมดงบโปรโมทกันไปมากมาย ซึ่งก็คือจุดเริ่มก้าวเข้าสู่ยุค 2G ในบ้านเรา บริการที่เด่น ๆ ให้คนเห็นภาพ ก็คือการ “โทรโชว์เบอร์” คือเห็นเบอร์คนที่โทรเข้ามาหาเรา  และ การส่ง "SMS” ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริการที่ต้องใช้เวลาในการให้ความรู้ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้คนหันมาใช้โทรศัพท์ดิจิตอลยุค 2G กันอย่างล้นหลาม มีคนเล่าว่า ครั้งนึงมีใครเขาเอา SMS ไปเปรียบเทียบกับการส่ง โทรเลขด้วยนะ ซึ่งแปลกมากที่ตอนนั้นเขาว่ากันว่า คนส่งโทรเลขชนะ แต่สุดท้าย บริการโทรเลขของบ้านเรา ก็เพิ่งจะปิดตัวไปอย่างเป็นทางการ และถาวร เพราะค่าบำรุงรักษาระบบแพงมาก และแทบจะไม่มีใครไปใช้บริการเลย เพราะเขาส่งด้วย SMS กันหมดแล้ว


           ทั่วไปแล้วบริการของโทรศัพท์มือถือเขาจะแบ่งประเภทของบริการหลัก ๆ เป็น 2 แบบคือ แบบ 1.Voice คือ โทรคุยกันธรรมดานั้นแหละค่ะ กับ 2.Non-Voice คือ “บริการที่ไม่เกี่ยวกับเสียง” ตัวอย่างเช่น การโชว์เบอร์เรียกเข้า ก็ถือได้ว่าเป็นบริการแบบไม่ใช่เสียง เนื่องจาก เบอร์ที่ส่งไปให้ยังปลายทาง ถูกส่งไปในลักษณะของข้อมูลในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งก็เป็นวิธีการส่งคล้าย ๆ กับบริการ SMS ทั้งคู่เลยอยู่ในบริการกลุ่ม Non-Voice บริการ 1G ต่างกับ 2G ตรงนี้ และด้วยความนิยมใน Non-Voice สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งว่ากันว่าลำพังแค่บริการ SMS ก็สร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการทางโทรศัพท์อย่างมหาศาลแล้ว คงนึกภาพกันออกอย่างเช่น เรียลิตี้โชว์ด้ง ๆ เวลา Vote ผ่าน SMS กันแต่ละที อีกทั้งเวลาส่งข้อความวันปีใหม่ หรือ เทศกาลต่าง ๆ ผู้ให้บริการยิ่งชอบเลย

           ต่อมานักเทคโนโลยีก็ไอเดียบรรเจิด เมื่อมีการส่งข้อมูลเพียงแค่ SMS แล้วคนนิยมมาก ก็น่าจะเพิ่มการส่งข้อมูลอื่นได้ด้วยแบบเช่น ภาพ หรือ ไฟล์ต่าง ๆ จึงได้พัฒนาเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลออกมาเป็นมาตราฐาน GPRS - General Packet Radio Service ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด ไม่เกิน 114 Kbps ซึ่งจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ได้ไม่ถึง ที่ทำได้ ๆ กัน ก็แค่ 50 - 80 Kbps เท่านั้น ซึ่งก็คงแล้วแต่สภาพแวดล้อมทั้งหมด ดิน ฟ้า อากาศ และความหนาแน่นของช่องสัญญาณในขณะนั้นด้วย แต่นั้นก็เร็วมากพอที่จะส่ง ภาพ หรือ พวกไฟล์ต่าง ๆ ทางมือถือหรือ MMS กันได้แล้ว และประกอบกับยุคนั้น โทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง ก็มาเปิดตลาดให้สอดคล้องกันพอดี และด้วยความเร็วระดับ GPRS ในยุค 2.5G ก็พอสำหรับที่จะทำให้ BB ขายกันเทน้ำเทท่า เพราะ BB Messenger บริการยอดนิยม ความเร็วระดับ GPRS ก็เหลือเฟือเพราะ เป็นการส่งตัวหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งใช้ความเร็วไม่สูงนัก



         แต่สำหรับ "นักโหลดของ" เช่น โหลดเพลง ไม่ว่าจะแบบ เต็มเพลง เอมวี และ ริงโทน หรือ นักโหลดแอปพลิเคชั่น (application) หรือพวกโปรแกรมต่าง ๆ ใส่มือถือ  และการพุ่งทยานแข่งกันของ Smart Phone จอสัมผัสทั้งหลาย ประมาณ Iphone, Windows Mobile หรือ ระบบโทรศัพท์ใหม่ของ Google ชื่อ Android แถมมือถือสมัยใหม่จอใหญ่ ยังกะ Netbook ถ้ารับส่งข้อมูลยิ่งช้าก็ยิ่งแย่คะ อย่าง up รูปขึ้น Facebook รอนานก็ไม่ไหว ต้องเร็ว ๆ แบบเปิด เวป เร็ว โหลดไฟล์เร็วเท่า High Speed Internet ได้ยิ่งดี แต่ในเมื่อนโยบายเปิดบริการ 3G ยังไม่ลงตัว ผู้ให้บริการเขาเลยต้องพัฒนาต่อให้ถึงขีดสุดของ 2G เช่นระบบ EDGE - Enhanced Data Rates for GSM Evolution แปลง่าย ๆ ก็คือ "ในระบบเดิมนี้แหละ ทำให้มันดีกว่าเดิมเข้าไปอีก" ซึ่งก็ทำความเร็วใช้ได้เลยคือสูงสุดประมาณ 384 Kbps แต่จริง ๆ เข้าก็เฉลี่ยก็แค่ 100 กว่า K เท่านั้น ซึ่งเมื่อถึงยุคของ EDGE และอาจจะมีใหม่กว่านี้บ้าง ตอนนี้ก็เท่ากับเราอยู่ในยุคของ 2.75G แล้ว โค้งสุดท้ายแล้วของ 2G หรือ อย่างที่บอก ถ้าเป็นรถ ก็ คือประมาณ Minor Change รุ่นสุดท้าย เพราะการที่จะมีใครอาจหาญลงทุนพัฒนา 2G ต่อให้เร็วกว่านี้ เขาคงจะเลือกลงทุนกับระบบ 3G ที่เร็วกว่ามาก พราะ 3G ในระบบที่เรียกว่า HSDPA นั้นสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 14.4 Mbps หรือ 14 เมก นั้นเอง ซึ่งเราก็หวังว่าจะได้ความเร็วเพียง 2 เมก เราก็ยิ้มแล้วล่ะ ครั้งหน้า จะมาพูดถึงรายละเอียด ว่า 3G ทำอะไรได้บ้าง และเหนือกว่า 3G คืออะไร.....

Credit: http://www.me.in.th

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อุปกรณ์เปล่งแสงอินทรีย์ (OLED)

        อุปกรณ์เปล่งแสงอินทรีย์ (Organic Light Emitting Diode, OLED) เป็นไดโอดเปล่งแสง (LED) ชนิดหนึ่งที่มีชั้นฟิล์มของวัสดุสารอินทรีย์ โดยสามารถเปล่งแสงเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน

         OLED แบบทั่วไปจะประกอบด้วยชั้นของวัสดุสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสง (Emissive Layer) ที่อยู่ระหว่างขั้วบวก (Anode) และ ขั้วลบ (Cathode) ตัวอย่างวัสดุสารอินทรีย์ที่สามารถใช้เป็น Emissive Layer
เช่น Polyphenylenevinylene จะให้แสงสีเขียว, Polythiophene จะให้แสงสีแดง และ PolyFluorene จะให้แสงสีฟ้า ในการใช้งานเราจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าที่ขั้วบวก และลบ  กระแสไฟฟ้าที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 2-10 โวลต์เมื่อมีกระแสไหลผ่าน อิเล็กตรอนก็จะไหลจากขั้วลบ ไปขั้วบวก ในทางควอนตัมเราสามารถอธิบายการไหล หรือการรวมกันอิเล็กตรอนจากระดับชั้นพลังงาน  รายละเอียดดูได้จาก Web อ.นอย >>http://nanotech.sc.mahidol.ac.th/e-plastic/oled.html โดยสังเขป ประจุบวกหรือโฮล (Hole) สามารถวิ่งอยู่บนชั้นพลังงานที่มีอิเล็กตรอนบรรจุอยู่นี้ได้  ในขณะที่ประจุลบหรืออิเล็กตรอน สามารถวิ่งได้บนชั้นพลังงานที่ว่างเปล่านี้ ชั้นพลังงาน 2 ชนิดนี้มีลักษณะที่ไม่เชื่อมต่อกัน โดยชั้นพลังงานที่ว่างเปล่าจะอยู่สูงกว่าชั้นพลังงานที่มีอิเล็กตรอนบรรจุ อยู่ ชั้นพลังงานบนสุดที่มีอิเล็กตรอนบรรจุอยู่ จะถูกแยกออกจากชั้นพลังงานว่างเปล่าด้วยช่องว่างของพลังงาน (Energy Gap) ซึ่งมีขนาดที่พอเหมาะ เมื่อผ่านสนามไฟฟ้าเข้าไปที่ขั้วไฟฟ้าทั้งสอง อิเล็กตรอนจากขั้วลบจะวิ่งไปที่ชั้นพลังงานที่ว่างเปล่า ในขณะที่โฮล จะวิ่งจากขั้วบวกเข้าไปยังชั้นพลังงานที่มีอิเล็กตรอนบรรจุอยู่ จากนั้นประจุลบจะวิ่งลงมาในขณะที่ประจุบวกจะวิ่งขึ้นไปพบกัน เมื่อมีการจับคู่กันก็จะเกิดการคายพลังงานส่วนเกินออกมาทำให้เกิดแสงนั่นเอง โดยสีที่เราเห็นจะขึ้นอยู่กับ Energy Gap ของวัสดุสารอินทรีย์ที่ใช้เป็น Emissive Layer
 
 วิธีการทำ OLED แบบง่ายๆ ดูได้จาก Web ของ University of Wisconsin at Madison, U.S.A. หรือ Click link>> http://mrsec.wisc.edu/Edetc/nanolab/oLED/index.html  เค้าอธิบายได้ละเอียดและดีมากๆครับ

         ตอนนี้ทางบริษัท Apple ก็จะใช้ OLED มาทำเป็น หน้าจอ iPad ซึ่งในปีหน้าเราอาจจะเห็น OLED มาโลดแล่นอยู่กับเจ้า iPad ครับ

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กล้วยที่มีจุดดำๆบนผิวมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง ??

           หลายคนอาจจะเคยเห็นรูปกล้วยด้านบนที่เผยแผ่ผ่านทาง Website ทั้งในและนอกประเทศหรือจากการ Forward Mail  แต่บางท่านอาจยังไม่เคยเห็น ผมขอเล่าคราวๆนะครับ รูปด้านบนจะมาพร้อมกับบทความที่ว่า "กล้วยที่มีจุดดำๆบนผิวมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง" โดยบทความดังกล่าว เค้าจะเล่าว่า "กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งมีความสามารถที่จะไปต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้นเท่าไหร่  ก็จะยิ่งทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้น จากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น  กล้วยจะมี TNF ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งได้มากขึ้น ใน การทดลองกับสัตว์โดยศาสตราจารย์ญี่ปุ่นผู้หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ในการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ โดยใช้ กล้วย องุ่น แอปเปิล  แตงโม สับปะรด  ลูกแพร์ ลูกพลับ  ปรากฏว่ากล้วยให้ผลดีที่สุด  มันช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNF คำแนะนำคือให้กินกล้วยวันละ 1-2 ใบเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ  เช่น หวัด  ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ ตาม คำแนะนำของศาสตราจารย์ญี่ปุ่น กล้วยทีมีผิวเหลืองและมีจุดดำๆหลายๆแห่งจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มเม็ดเลือด ขาวได้มากกว่ากล้วยที่มีผิวเขียวถึง 8 เท่า"  
 

           พอผมได้อ่านบทความนี้ ผมจึงมีความสนใจอย่างมาก เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบรับประทานกล้วย ผมเลยพยายามค้นหา ข้อมูลจากฐานข้อมูลวิชาการต่างๆ แต่สรุปว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอครับ ศาสตราจารย์ญี่ปุ่นท่านไหนก็หาไม่เจอ มีแต่รูปกล้วยและข้อความลักษณะนี้จาก Web ทั่วไป โดยไม่มีการอ้างว่าแหล่งข้อมูลดังกล่าวมาจากที่ไหน ผู้ใดเป็นคนศึกษากันแน่ 
            จริงๆแล้วในวงการวิชาการทั่วไป ถ้าผู้ใดสามารถคิดค้น ประดิษฐ์ หรือเข้าใจเรื่องบางอย่าง อย่างถ่องแท้ เค้าก็จะนิยมมาตีพิมพ์ในบทความวิชาการครับ ที่คนไทยเราชอบพูดกันว่า Paper ซึ่งบทความวิชาการก็จะมีผู้ตรวจทานที่เรียกว่า Reviewer  และมี Editor เป็นผู้ตัดสินชะตาและจัดการกับ Paper ทุกอย่าง โดย Editor จะเป็นคนส่งงานวิจัยนั้นๆไปให้ Reviewer อ่าน ซึ่งส่วนมาก Reviewer ก็จะเป็นอาจารย์ นักวิจัย หรือ ศาสตร์จารย์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนั้นๆ Editor จะเป็นผู้กำหนดว่าจะส่งให้ Reviewer คนใดอ่านบ้าง บางงานอาจส่งให้ Reviewer ถึง 5 คนเลยทีเดียว หลังจากที่ Reviewer อ่านงานนั้นเสร็จสิ้น Reviewer ก็จะส่ง ความคิด ทักษะคติ ที่เค้าได้อ่านงานนี้ว่าเค้ารู้สึกอย่างไร งานน่าสนใจไหม มีอะไรใหม่รึปล่าว ข้อมูลเชื่อถือได้มากขนาดไหน Editor จะรวบรวมความคิดเห็นของทุก Reviewer และตัดสินว่า Paper ดังกล่าวควรจะให้ ตีพิมพ์ เลยหรือไม่ หรือให้แก้ไขก่อนแล้วพิจารณาอีกครั้ง หรือปฏิเสธไปเลย คือเธอไม่ต้องส่งมาที่ฉันแล้วนะ งานเธอไม่น่าเชื่อถือเลย (ผู้ที่ทำงานด้านวิจัยคงเจอกันบ่อยนะครับสำหรับ Case นี้) วารสารที่ Paper จะตีพิมพ์ก็จะแบ่งได้อีกหลายระดับ บางคนก็จะแบ่งตามค่าที่เรียกว่า Impact Factor ถ้าวารสารใดมีค่า Impact Factor สูงก็ถือว่าวารสารนั้นน่าจะมีคุณภาพสูง มีผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ แต่เชื่อไหมครับว่า Paper ที่ลงในวารสารที่มีค่า Impact Factor สูงอย่างเช่น Nature งานบางอย่างอาจมีข้อผิดพลาด เชื่อถือไม่ได้ ผู้แต่งบางคนยังรู้สึกผิด หลังได้รับตีพิมพ์ยังต้องออกมาลงแก้ไขกันใหม่ก็มีครับ



             ที่ผมเล่าให้ฟังเรื่อง การตีพิมพ์งานวิจัย ก็จะไปโยง กับเรื่องกล้วยๆ ด้านบนครับ อยากให้ผู้อ่านทุกคน ที่อ่านข้อมูลทาง Internet หรือ ได้รับจาก Forward Mail เมื่อเราอ่านแล้วอย่าเชื่อทุกอย่างในทันทีครับ เพราะไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน อย่างเรื่องงานวิจัยกล้วยด้านบนเป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีการระบุ แหล่งที่มา และคนผู้ศึกษาอย่างชัดเจน ที่จริงงานวิจัยขนาดนี้ผู้วิจัยก็ต้องออกมาเสนอหน้ากันแล้วครับ เพราะถือว่ามีความสำคัญมาก อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ขอสรุปว่า งานวิจัยข้างบนเป็นจริงหรือเท็จ มันอาจจะเป็นจริงก็เป็นไปได้ เพราะผมยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร เรื่องจริงแท้แน่นอน คือกล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและย่อยง่าย ผลกล้วยสด 100 กรัมมีแป้งประมาณ 2 กรัม น้ำตาล (รวมซูโครส กลูโคส และฟรักโทส) 20 กรัม วิตามินซี 11 มิลลิกรัม ส่วนกล้วยตาก 100 กรัมมีน้ำตาลถึง 50 กรัม และวิตามินซี 3 กรัม กล้วยสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และการอาการท้องเสียได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นกินกล้วยก็ย่อมมีประโยชน์แน่นอนครับ อย่างไรก็ตามถ้าใครทราบแหล่งข้อมูลที่แท้จริง เรื่องจุดด่างดำบนกล้วยก็บอกผมบ้างนะครับ อยากรู้เหมือนกัน ส่วนเรื่องต่างๆใน Website และ Forward Mail ก็กลั่นกรองกันดูว่าสุดท้ายแล้วเค้าแนะนำยังไง ถ้าเห็นแล้วไม่เข้าท่าก็อย่าไปทำตามนะครับ...

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เซนเซอร์ไร้สายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

        นักวิจัยได้พัฒนา หัวเซนเซอร์แบบผังในร่างกายมนุษย์ (Implantable sensor) และสามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ที่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

       
      ภาพด้านบนเป็นภาพรูปจำลองหัวเซนเซอร์ที่สามารถฝังในร่างกายมนุษย์ โดยที่ไม่มีอันตรายต่อระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ โดยหัวเซนเซอร์ด้านหนึ่งจะตรวจวัดออกซิเจน  อีกด้านหนึ่งจะตรวจวัดอันตรกิริยาของออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคส (glucose) โดยข้อมูลจะถูกส่งผ่านยังภายนอกโดยระบบสัญญาณไร้สายที่ฝังรวมอยู่ภายในหัวเซนเซอร์ อุปกรณ์ดังกล่าวได้ถูกทดสอบกับหมูมากกว่า 1 ปีซึ่งไม่เกิดผลกระทบใดๆทั้งสิ้น ศาสตรจารย์ David Gough จากมหาวิทยาลัย San Diego กล่าวว่า "อุปกรณ์ตัวนี้สามารถทำงาน เก็บข้อมูล อย่างต่อเนื่องได้ถึง 1 ปีหรือมากกว่า ซึ่งภายในไม่กี่เดือนข้างหน้าอุปกรณ์ตัวนี้จะถูกฝังที่มนุษย์เพื่อทดสอบ โดยเราจะทดสอบมันอีกหลายปีเพื่อศึกษาผลกระทบ ถ้ามันยังทำงานได้อย่างดี อุปกรณ์นี้จะสามารถสั่งซื้อได้ภายใต้การควบคุมของแพทย์" 

  
เซนเซอร์นี้สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 (Type 1) และชนิดที่ 2 (Type 2)
 - โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ในตับอ่อน ทำให้ร่างกายหยุดการสร้างอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว (อย่างภาพด้านบน หญิงสาวกำลังฉีดอินซูลิน)
  - โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวมาก การขาดการออกกำลังกาย และวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ยังคงมีการสร้างอินซูลิน แต่ทำงานไม่เป็นปกติเนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว และต้องการยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด รายละเอียดโรคเบาหวานคลิกอ่านได้ที่ ThaiWiki

       เซนเซอร์จะใช้ในการปรับปริมาณอินซูลิน และเวลาในการฉีด ซึ่งมันจะช่วยลดความเสี่ยงการมีปริมาณอินซูลินที่มากเกินไป ถ้าปริมาณอินซูลินมีมากเกินไป จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)  (น้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 60 มก./ดล.) อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ อีกทั้งยังใช้เพื่อช่วยในการจัดตารางในการออกกำลังกาย และควบคุมการบริโภคอาหารเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่สภาวะปกติ  (ต่ำกว่า 200 มก./ดล.) ขนาดตัวเซนเซอร์ที่ฝังในหมูประมาณ เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.8 ซม. ความหนาประมาณ 1.9 ซม. สามารถส่งข้อมูลไปยังภาครับได้ไกล 3.6 เมตร และยังสามารถส่งข้อมูลไปยังโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย 
          เพิ่มเติมครับ ประเทศไทยเราก็มีสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ ลองแวะเยี่ยมชมนะครับเพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฉี่ แหล่งพลังงานในอนาคต

        ฉี่จะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรีย (Microbial Fuel Cell)  ที่สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติได้
          เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) คืออะไรลองเข้าไปอ่านที่นี้ได้ที่ Thai Wiki ครับ สำหรับเชื้อเพลิงเเบคทีเรียแบบทั่วไปก็จะประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า Anode และ Cathode และมีเยื่อเลือกผ่าน (membrane) เป็นตัวกั้นอยู่ ลองดูจากภาพด้านล่างครับ ในขั้ว Anode เชื้อเพลิงจะถูกออกซิเดชัน โดยพวกแบคทีเรียซึ่งมันจะทำให้เกิดอิเล็กตรอนและโปรตอนขึ้นมา อิเล็กตรอนจะถูกส่งผ่านไปยังขั้ว Cathode โดยทางวงจรไฟฟ้าภายนอก ส่วน โปรตอนจะไหลไปยังขั้ว Cathode ผ่านตัว Membrane ซึ่งการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าดังกล่าว กับการต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ครบวงจรภายนอก ก็สามารถทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ และเชื้อเพลิงเเบคทีเรีย ก็สามารถสร้างพลังงานได้ตราบเท่าที่ยังมีเชื้อเพลิงป้อนแก่เซลล์ไฟฟ้าอยู่
       นักวิจัย Dr. Ioannis Ieropoulos จากห้องทดลอง Bristol Robotics ของมหาวิทยาลับ Bristol ประเทศอังกฤษ เพิ่งไดรับทุนวิจัย 564,561 ปอนด์ (ราวๆ 28 ล้านบาท) สำหรับโครงการวิจัย 4 ปี ที่จะพัฒนาวิธีการใช้ขยะหรือของเน่าเสียมาสร้างเป็นแหล่งพลังงานให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรีย ใน 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา นักวิจัยได้พัฒนาหุ่นยนต์ชื่อ EcoBot-III ได้สำเร็จ โดยหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถให้พลังงานกับตัวมันเอง โดยการย่อยพวกขยะหรือของเสียต่างๆ ในการทดลองที่ผ่านมา เค้าได้ใช้ผลไม้เน่า, วัชพืชที่ถูกตัดทิ้ง, เปลือกกุ้ง, และแมลงวัน ที่ตายแล้ว มาใช้เป็นแหล่งอาหารให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรีย และเค้าก็กำลังหาของเสียที่ดีที่สุด ในการสร้างพลังงานที่มากกว่าสิ่งของเหล่านี้ และเค้าก็ได้พบคำตอบ สิ่งนั้นก็คือ ปัสสาวะ จริงๆแล้วปัสสาวะก็อุดมไปด้วย Nitrogen, Urea, Chloride, Potassium และ Bilirubin ที่ซึ่งสามารถเป็นแหล่งพลังงานให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรียได้เป็นอย่างดี และเค้าก็ได้ทดสอบเบื้องต้นถึงประสิทธิภาพของปัสสาวะ ว่าสามารถเป็นแหล่งพลังงานได้ดีเลยทีเดียว ต่อไปในอนาคต การปัสสาวะเรี่ยราดตามทางคงหมดไป เพราะการฉี่ 1 ครั้งอาจทำกำไรให้ท่านได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างเป็นพลังงานบริสุทธิ์ได้อีกด้วยครับ....

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 เทคโนโลยีก่อกำเนิด (10 Emerging Technologies) ตอนโทรศัพท์ 3 มิติ (Mobile 3-D)

           ถ้าจะพูดถึงมหาวิทยาลัยผู้นำด้านวิทยาศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ หรือเทคโนโลยีของโลก คงหนีไม่พ้นมหาวิทยาลัย MIT (Massachusette Institute of Technology) ของอเมริกา ในความคิดส่วนตัวของผม MIT เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ด้านเทคโนโลยีของโลกตลอดกาลเลยทีเดียว ขนาดหน้าตาและโลโก้ของ Website ของเค้า ยังมีการ Update และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การดีไซด์ยังกินขาด เข้าไป web MIT บางครั้ง ผมนึกไม่ถึงว่า จะเป็น Web จากมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำครับ.... ที่พูดถึง MIT ก็เพราะเค้ามีวารสารเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Technology Review ซึ่งมี 1 บทความที่น่าสนใจ คือ เค้าได้เลือกเทคโนโลยีมา 10 ชนิดสำหรับในปี 2010 นี้ โดยเทคโนโลยีที่เค้าเลือกมาเค้าจะนิยามมันว่าเป็น  เทคโนโลยีก่อกำเนิด  (Emerging Technologies) เข้าใจแบบชาวบ้านตามประสาอย่างเราก็คือ เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด และจะมีผลกระทบต่อคนจำนวนมากในอนาคตอันใกล้นี้ครับ



       โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Samsung B710 ก็ดูคล้ายๆกับโทรศัพท์ Smart Phone ทั่วไป แต่เมื่อหน้าจอเลื่อนจากแนวตั้งไปแนวนอนสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ภาพจากที่เราเห็นเป็นปกติธรรมดาเปลี่ยนเป็นภาพ 3 มิติทันที (Mobile 3-D)....มหัศจรรย์ยิ่งนัก....Dr. Julien Flack ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ บริษัท Dynamic Digital Depth Inc. เป็นผู้ที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปีสำหรับการคิดค้น Software ที่สามารถเปลี่ยนภาพ 2 มิติให้เป็นภาพ 3 มิติได้ โดยเทคโนโลยีที่เค้าคิดค้น ยังสามารถกำจัดปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการมองภาพ 3 มิติได้ นั่นคือ การไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตา 
 
         โดยปกติทั่วไปที่เราเคยดูหนัง 3 มิติเราจำเป็นต้องใส่แว่นตา ตัวอย่างง่ายสุดถ้าเราจำได้คือการใช้แว่น ที่ด้านหนึ่งเป็นสีแดง อีกด้านหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน และจอภาพที่เราเห็นจะมีสีสันคล้ายๆ สีน้ำเงินกับสีแดง (ภาพที่ฉายเกิดจากกล้องฉายภาพ 2 ตัว ที่ฉายภาพในมุมมองที่แตกต่างกัน) แว่นตาที่เราใส่ จะทำหน้าที่กรองภาพแต่ละสีออกไป ด้านแว่นสีแดงก็จะกรองสีแดงออก แว่นสีน้ำเงินจะกรองสีน้ำเงินออก และเนื่องจาก ภาพที่ฉายหน้าจอมาจากกล้องที่ฉายภาพต่างสีและอยู่ในมุมที่ต่างกันด้วย จึงทำให้ตาแต่ละข้างของเรามองเห็นภาพที่ต่างกัน และเมื่อสมองเรารวมภาพจากตาทั้งสอง จึงทำให้เกิดความลึกตื้นเกิดขึ้น เราจึงเห็นเป็นภาพนูนลอยออกมา แต่สำหรับโปรแกรมดังกล่าวจะเป็นการสังเคาระห์ภาพ 3 มิติ จากภาพ 2 มิติที่ฉายอยู่เลย โดยมันจะสร้างคู่ภาพที่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในหน้าจอ ที่สามารถทำให้สมองเราตีค่าความลึกในแต่ละจุดของภาพนั้นได้ เลยเห็นเป็นภาพลอยออกมาได้นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คถูกที่สุดในโลก



        วงการไอทีสมัยนี้ก้าวไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เทคโนโลยีต่างๆก็โพล่กันเหมือนดอกเห็ด อย่างคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ใช้กันอยู่ เรียกได้ว่าแทบจะตกรุ่นในทุกๆ 1 เดือนก็ว่าได้ แต่สิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราได้ผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดก็คือ "ราคา" ราคาสินค้าบางอย่างก็ลดลงอย่างถล่มทลาย เนื่องจากการแข่งขันห่ำหันกันเองของบริษัทผู้ผลิต อย่างสมัยนี้เราสามารถซื้อมือถือได้ในราคาไม่ถึง 800 บาท ซึ่งราคานี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยในช่วง 5 ปีที่แล้ว ข่าวดีสำหรับวงการไอทีล่าสุดคือ เราก็อาจจะเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คได้ด้วยราคาไม่เกิน 1,200 บาท
           รัฐบาลอินเดียได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าพวกเขาได้พัฒนา คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่มีราคาถูกที่สุดในโลกราคาอยู่ที่ประมาณ 35 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,155 บาท) ซึ่งราคานี้ได้รวมทั้ง หน้าจอ, Mainboard, หน่วยความจำ, ระบบปฎิบัติการ Linux  และส่วนประกอบอื่นๆ คือพูดกันง่ายๆ ซื้อมาปุบใช้ได้ปั๊บ รูปร่างของมันก็มีการออกแบบให้คล้ายกับ iPad  ของบริษัท Apple  ที่ใช้ระบบ Touch screen ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียยังได้มีแผนจะวางจำหน่ายในปีหน้า และจะลดราคาเจ้าตัวนี้อีก ให้เหลือต่ำสุด 10 ดอลลาร์ (ประมาณ 330 บาท) โดยเจ้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนี้ได้ถูกพัฒนาจากกลุ่มวิจัยของมหาวิทยาลัย Indian Institute of Technology และ Indian Institute of Science  Clip VDO เปิดตัวเจ้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนี้ ดูได้จากข้างล่างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แบตเตอรี่แบบเขย่า

  แบตเตอรี่แบบเขย่า

"แบตเตอรี่ ( ถ่านไฟฉาย) สำหรับรีโมทหมดซะแล้ว ต้องไปซื้อใหม่อีกแล้วหรือเนี๊ย นานๆเราก็กดรีโมทสักที สองที แบตหมดเร็วจัง........" ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปในอนาคตอันใกล้นี้ครับ เราไม่ต้องไปซื้อแบตหรือเสียเวลาไปชาร์ตถ่านกันอีกแล้ว เพียงแค่เราเขย่า เขย่า และเขย่าแบตเตอรี่ แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่เหล่านั้นก็จะกลับคืนมาดังเดิม บริษัท Brother เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย Printer ที่คนไทยรู้จักกัน ได้ผลิตถ่านไฟฉายแบบเขย่าขึ้นมา โดยถ่านไฟฉายแบบเขย่าหรือแบบสั่นชนิดนี้ สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่ใช้กำลังไฟไม่มาก อย่างเช่น รีโมทคอนโทลต่างๆ, หลอด LED หรือไฟฉายขนาดเล็ก เป็นต้น  ข้างในของถ่านไฟฉายชนิดนี้จะมี ขดลวด, แม่เหล็ก เป็นตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้า และ มีคอนเดนเซอร์ คาปาซิเตอร์  เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้า หลักการทำงานของมันก็คล้ายกับตัวไดนาโมที่ติดรถจักรยาน ที่สามารถเป็นแหล่งกำเนิดกับหลอดไฟเวลาเราปั่นจักรยาน  ถ่านไฟฟ้าชนิดนี้สามารถใช้แทนถ่านไฟฟ้าขนาด AA และ AAA ได้ สามารถให้ค่าพลังงาน 3.2 โวลต์หรือน้อยกว่านั้น  การชาร์จของมันจะไม่ขึ้นอยู่ว่าสั่นนานแค่ไหน แต่จะขึ้นอยู่กับความแรงและจำนวนครั้งในการสั่น หรือความถี่ในการสั่นนั้นเอง มันต้องการความถี่ประมาณ 4-8Hz ซึ่งถ้าเทียบกับใส่อุปกรณ์ที่ตัวเรา และเดินปกติ ความถี่จะประมาณ 2Hz เวลาใช้งานเจ้าแบตเตอรี่นี้อาจต้องเขย่าก่อนใช้เล็กน้อย แต่ข้อดีอย่างหนึ่งที่ บริษัท Brother ภูมิใจเสนอคือ การสามารถช่วยลดสารพิษจากพวก Rechargeable แบตเตอรี่ (ถ่านชาร์ต)  และ เทคโนโลยีนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รักษาการนอนกรน


ใครเคยมีประสบการณ์ ได้นอนเคียงข้างกับคนที่นอนกรนกันบ้างครับ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจกันดีว่ามันทรมาณแค่ไหน มีหลายวิธีที่ผู้อ่านคงเคยได้ยินกันมา อย่างเช่น ให้ผู้ชอบนอนกรนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้น หรือให้นอนในท่านอนตะแคง เพราะสามารถช่วยลดการสั่นกระพือของบริเวณโคนลิ้น ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเสียงกรนได้ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้น จะคลายตัวลงไป ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ก็ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก ทำให้เกิดคล้ายการกระพือที่บริเวณโคนลิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงกรน วิธีแก้ไขที่ให้ปรับเปรียบท่าการนอน จึงเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดเสียงกรนได้ แต่ทว่าจะไปจับให้เค้าเปลี่ยนท่านอนทั้งคืน และทุกวันคงเป็นไปไม่ได้..... ทางการแพทย์จึงคิดค้นวิธีที่ใช้รักษาการนอนกรน ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องอัดอากาศความดันต่อเนื่อง เพื่อไปเปิดทางเดินหายใจขณะหลับ, การใช้เครื่องจี้คลื่นความถี่วิทยุ ลงไปในเพดานอ่อนและโคนลิ้น เพื่อให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นหดตัวและขนาดลดลง, การผ่าตัดตกแต่งลิ้นไก่และเพดานอ่อน หรือการรักษาวิธีใหม่ที่น่าสนใจซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และได้ผลดี คือการฝังพิลลาร์ (Pillar) ที่เพดานอ่อน
หลักการทำงานของพิลลาร์ก็แสนจะง่ายครับ เหมือนเราเอาเสาไปฝั่งไว้ที่บริเวณเพดานอ่อน ซึ่งการฝั่งเสาเล็กๆแบบนี้ ก็จะไปช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อเพดานอ่อนและโคนลิ้นนั่นเอง ลองดู Clip ข้างล่างได้ครับผม


ประเทศไทยก็สามารถทำได้แล้วนะครับ ใครสนใจก็ลองไปปรึกษาแพทย์ได้เลยครับผม

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พัดลมไม่มีใบพัด

ขึ้นชื่อว่า "พัดลม" หรือที่ใครชอบเรียกว่าแฟน (Fan) ทุกคนคงคิดภาพออกว่าหน้าตาพัดลมจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นพัดลมที่ไม่มีใบพัดล่ะ? ใครเคยเห็นกันแล้วบ้าง.... หลายคนอาจยังไม่เคยเห็น (ภาพด้านบนครับ) เจ้าแฟนแบบไม่มีใบพัดได้ถูกออกแบบโดยบริษัท Dyson จากประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องดูดฝุ่นเลยที่เดียว แล้วมันจะเป่าลมกันยังไงเนี๊ย? วิธีการเป่าลมของมันคือ มันจะดูดอากาศจากตัวฐานเป็นหลัก แล้วส่งผ่านมายังเจ้ารูปวงกลมด้านบน (สีฟ้าๆ ที่รูปใหญ่) โดยไอ้เจ้าวงกลมดังกล่าว ทั้งด้านในและที่ขอบของมันจะเป็นรูปคล้ายๆกับปีกเครื่องบิน ที่สามารถบังคับทิศทางของอากาศให้ไหลผ่านไปยังข้างหน้าด้านมัน และด้วยการออกแบบในลักษณะนี้ จะทำให้มวลอากาศรอบๆตัวมันจากด้านนอก ไหลเข้าไปรวมกับอากาศที่มาจากที่ฐานของมันได้อีก ถือว่าเป็นการเพิ่มแรงลมไปในตัวเลยทีเดียว (ลองดูหลักการทำงานจาก Clip ด้านล่างครับ) บริษัท Dyson ได้เรียกเทคโนโลยีตัวนี้ ว่า Air Multiplier แปลกันตรงๆ อาจแปลได้ว่า ตัวคูณอากาศ ซึ่งมันก็สมกับการตั้งชื่อจริงๆ เพราะกำลังที่มันเป่าออกมาให้เรา มีค่ามากกว่าที่มันดูดเข้าไป 15-18 เท่า แรงกว่าพัดลมธรรมดาที่ใช้กำลังไฟเท่ากันเสียอีก ข้อดีที่สำคัญของเจ้าตัวนี้ คือไม่เป็นอันตรายกับเด็ก และพวกที่ชอบเอานิ้วไปแหย่แฟน (Fan) อีกด้วยนะครับ...

หลักการทำงานของพัดลมที่ไม่มีใบพัดครับ

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มือถือเบาที่สุดในโลก

 

วันนี้ขอเสนอเทคโนโลยีมือถือ จากบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือในประเทศอิสราเอล คราวนี้เป็นมือถือที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก รับรองด้วย กินเนสบุ๊ก ออฟ เวิลด์ เรคคอร์ด มันมีชื่อว่า โมดู (Modu) น้ำหนักมันเพียง  43 กรัม พูดง่ายๆน้ำหนักยังเบากว่าไข่ไก่เสียอีก เจ้าโมดู 1 เป็นตัวที่มีขนาด 72.1 ม.ม. x 37.6 ม.ม.x 7.8 ม.ม. ซึ่งจริงๆแล้วมันเปิดตัวครั้งแรก ที่งาน Mobile World Congress ทีประเทศสเปน ในวันที่ 11 ก.พ. 2008 สองปีมาแล้วครับ โดยเจ้าตัวนี้สามารถ ใช้งานเป็นโทรศัพท์ธรรมดา ส่ง SMS มีบลูทูธ และ เครื่องเล่น MP3  พร้อมหน่วยความจำ 2GB หน้าจอ OLED ขนาด 1.3 นิ้ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 7,300 บาทครับ ไม่แน่ใจว่า ตอนนี้มีขายที่มาบุญครองบ้านเราแล้วหรือยัง แต่สำหรับผู้สนใจ สามารถหาซื้อได้ตามเวปไซด์ในโลกอินเตอร์เนตทั่วไปครับ

ความเสี่ยงจากนาโนเทคโนโลยี


        ปัจจุบันนี้นาโนเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ใครๆต่างก็พูดถึงคำว่า นาโน สินค้าที่ใช้นาโนเทคโนโลยีบางอย่าง ก็อวดอ้างสรรพคุณต่างๆ นาๆ มากมาย อย่างเช่น "ฉันใช้ถุงเท้านาโนนะ ใส่มา 1 อาทิตย์แล้ว ไม่ต้องซักเลย" หรือ บางคนอาจเคยได้ยินว่า "ครีมนาโน ใช้ดีมากๆ ใช้แล้วหน้าทั้งเด้ง และขาวเหมือนลูกปิงปอง" แล้วหนึ่งคำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ "ไอ้เจ้านาโนเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่ล่ะ มันอันตรายกับชีวิตมนุษย์หรือมีผลกระทบกับสภาวะแวดล้อมไหม ?" วันนี้ผมจะเล่างานวิจัยที่เค้าตีพิมพ์ ค้นคว้ากันมานะครับ
หนูผู้น่าสงสาร และ อนุภาคนาโนไทเทเนียม

  ศาสตร์จารย์โรเบิร์ตจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ได้รายงานว่าอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO2) (ที่สามารถพบได้ใน เครื่องสำอางค์ หรือคลีมกันแดด) เป็นสาเหตุในเกิดความผิดปกติของยีนในตัวหนู อนุภาคนาโนไทเทเนียมสามารถเข้าไปสะสมในอวัยวะหลายส่วนของหนูโดยร่างกายจะไม่มีทางกำจัดมันออกได้ และเนื่องจากขนาดที่เล็กจิ๋วของมัน มันจึงสามารถกระจายได้ทุกแห่งในร่างกาย สามารถเข้าไปแทรกซึมในเซลล์ และไปรบกวนกลไลการทำงานของระบบบเซลล์ต่างๆ  ในการศึกษาของศาสตร์จารย์โรเบิร์ตแสดงให้เห็นว่า ถ้าหนูดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของอนุภาคนาโนไทเทเนียม ในวันที่ห้า อนุภาคนาโนไทเทเนียมดังกล่าว จะเริ่มทำลายยีนของหนู เมื่อเทียบเท่ากับมนุษย์คือ เราเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอนุภาคนาโนไทเทเนียมประมาณ 1 ปีครึ่ง

ท่อนาโนคาร์บอน

      ท่อนาโนคาร์บอนเป็นหนึ่งในวัสดุยอดฮิตที่นำไปใช้งานในห้องทดลอง หรือไปประยุกต์การใช้งานจริง เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษหลายประการของมัน  แต่การสูดดมมันเข้าไป ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างชัดเจน ในวารสาร ชื่อ  Nature Nanotechnology (ซึ่งถือว่าเป็นวารสารที่มีผลกระทบด้านนาโนต่อชาวโลกมากที่สุด Impact factor ด้านนาโนสูงสุด) เพียงการสูดดมครั้งแรก ท่อนาโนคาร์บอนจะส่งผลกระทบกับเยื่อหุ้มปอดของหนูทันที การค้นพบครั้งนี้ยังเป็นที่กังวลว่า หากสูดดมท่อนาโนคาร์บอนติดต่อกันอาจทำให้เป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดได้ 

นาโนซิลเวอร์ และนีโมกับพ้องเพื่อน

          ผ้าที่เคลือบด้วยนาโนซิลเวอร์ (Nanosilver) สามารถขจัดความชื้นและระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ทดสอบปริมาณการปลดปล่อยอนุภาคนาโนซิลเวอร์ที่อยู่ในเนื้อผ้าภายหลังการซักทำความสะอาด ผลปรากฏว่าภายหลังการซักครั้งแรก ค่าของการปลดปล่อยอนุภาคนาโนซิลเวอร์อยู่ที่ประมาณ 1.3 ถึง 35 % เลยทีเดียว การปลดปล่อยอนุภาคนาโนซิลเวอร์ดังกล่าวอาจจะไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ แต่อนุภาคโลหะที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นสามารถส่งผลกับสัตว์น้ำจืดและน้ำเค็ม เป็นสาเหตุที่ทำให้ปลาเพิ่งเกิดใหม่ตายได้เลยทีเดียว และมันอาจจะส่งผลต่อระบบนิเวศทางชีวภาพได้ในระยะยาว 
         จนถึงปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดแจ้ง สำหรับอันตรายของอนุภาคนาโนต่อมนุษย์โดยตรง งานวิจัยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการทดสอบกับสัตว์ทดลอง เช่น หนู เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรจากการศึกษาด้านบนทำให้เราเชื่อได้ว่าอนุภาคนาโนสามารถเข้าไปทางร่ายกายจากการหายใจ และเข้าไปสะสมในปอดเราได้แน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนาโนทั้งหลาย เราต้องมั่นใจว่าผลิตภัฑณ์ต้องไม่ปลดปล่อยอนุภาคนาโนมาสู่ตัวเรา หรืออาจจะปลดปล่อยแต่ควรเป็นปริมาณที่น้อยที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หม้อหุงขนมปังจากข้าวสารเครื่องแรกของโลก

บริษัท SANYO Electric ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัว หม้อหุงขนมปังจากข้าวสาร เครื่องแรกของโลก ที่มีชื่อว่า เจ้าโกปัง (Gopan) โดยคาดว่าจะออกสู่ตลาดในเดือน ตุลาคมนี้ ราคาเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 17,500 - 21,000 บาท

เจ้าโกปัง หน้าตาเป็นอย่างนี้ นี้เอง
เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามการบริโภคข้าวภายในประเทศญี่ปุ่นในเวลานี้ ได้ลดลงถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เนื่องจากชาวญี่ปุ่นได้รับประทานอาหารที่หลากหลายยิ่งขึ้น  บริษัท SANYO Electric ของประเทศญี่ปุ่น  จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีตัวหนึ่งขึ้นมา เพื่อช่วยกระตุ้นให้ชาวญี่ปุ่นหันมาบริโภคข้าวให้มากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในเครื่องที่ถูกพัฒนานั้นมีชื่อว่า เจ้าโกปัง (Gopan) ที่สามารถหุงขนมปังจากข้าวสารได้   นับเป็นเครื่องที่ทำขนมปังจากข้าวสารแบบออโตเมติกเครื่องแรกของโลกเลยทีเดียว


วิธีการใช้งานเจ้าเครื่องดังกล่าวง่ายมากคือ ใส่ข้าวสารล้างสะอาด 220 กรัม, น้ำ 210 กรัม, เกลือ 4 กรัม , น้ำตาล 16 กรัม และ เนยขาว 10 กรัม ลงในถาดขนมปังของเครื่อง แล้วใส่ กลูเตน 50 g (เป็นโปรตีนที่สกัดจากแป้งสาลี เพื่อช่วยให้เนื้อขนมปังขึ้นตัวเร็ว เนื้อนุ่ม เรียงตัวได้ดี) กับ ยีสต์ 3 กรัมในช่องด้านบน หลังจากนั้นกดสวิตซ์ Start เจ้าโกปังจะบดเมล็ดข้าวให้เป็นแป้ง ผสมกับส่วนผสมต่างๆ นวดแป้ง อบ จนได้ขนมปังที่แสนอร่อยภายในเวลา 4 ชั่วโมง มากกว่านั้นเจ้าเครื่องดังกล่าวยังสามารถทำขนมปังได้อีกหลายแบบ แบบที่ไม่ต้องใส่ กลูเตน ก็ยังทำได้อีกด้วยครับ


Clip ของเจ้าเครื่องหุงขนมปังครับ

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพลวงตา



มองดูจากภาพด้านบนแล้ว สี่เหลียมที่ตำแหน่ง A และสี่เหลี่ยมที่ตำแหน่ง B เป็นสีเดียวกันรึปล่าวครับ ?.....ผมมองเห็นเป็นคนละสีกัน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสีเดียวกัน ลอง Print สี ภาพด้านบน แล้วตัดสี่เหลี่ยม A และ สี่เหลี่ยม B มาเปรียบเทียบกันครับ แล้วจะเห็นถึงความมหัศจรรย์ของมัน แต่ว่าทำไมเราถึงมองเห็นเป็นคนละสีได้ล่ะ?    Prof. Edward Adelson จากมหาวิทยาลัย MIT สหรัฐอเมริกา เป็นผู้คิดค้นและอธิบายปรากฏการลวงตาครั้งนี้ครับ  Prof. Edward ได้กล่าวว่า  ในกรณีภาพตารางหมากรุกด้านบน ปัญหาอยู่ที่การตัดสินเฉดสีเทาของตารางหมากรุกบนพื้นห้อง  การวัดปริมาณแสง (ความสว่าง) ที่มาจากพื้นผิวไม่เพียงพอ เงาที่ทอดยาวไปที่ตรงกลางตารางหมากรุก จะช่วยปกคลุมพื้นผิวไว้ พื้นผิวสีขาวที่อยู่ในเงามืดอาจจะสะท้อนแสงน้อยกว่าพื้นผิวมืดที่อยู่ในที่สว่าง  ในขณะที่ระบบการรับรู้แสงหรือความสว่างของคนเราไม่ดีมากนัก สมองเราเลยใช้เทคนิคในการรับรู้หลายอย่าง เช่น การเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่รอบตัวมันแทน ตารางหมากรุก B ซึ่งล้อมรอบด้วยตารางหมากรุกที่สีเข้มกว่า ในขณะที่ตารางหมากรุก A ถูกล้อมด้วยตารางหมากรุกที่สีอ่อน จึงทำให้ดูว่าตารางหมากรุก A มีสีเข้มกว่า B อีกทั้งรูปร่างของตารางหมากรุกเป็นขอบคมที่ชัดเจน ทำให้ระบบรับรู้ทางสายตาของเรา ละเลยการเปลี่ยนแปลงของระดับแสง ที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนทำให้เราแยกความสว่างไม่ได้ครับ...
เพราะฉะนั้น บางครั้งสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า อาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงก็ได้นะครับ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย

เหตุผลในการที่จะเริ่มคิดค้นยาคุมกำเนิดในผู้ชาย ก็เนื่องจากว่า ในปัจจุบันการคุมกำเนิดของผู้ชาย ก็มีเพียงแค่ การใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งค่อนข้างจะได้ผลดีระดับหนึ่ง ป้องกันการติดเชื้อเอดส์ และเป็นที่นิยมในชายที่ไม่ค่อยจะซื่อสัตย์ต่อภรรยาอันเป็นที่รักนัก แต่ถ้าในกรณีที่สามีที่แสนดีมีสตรีเพียงนางเดียว ก็คือ คนที่แต่งงานและเป็นแม่ของลูก คงไม่แฮปปี้นักที่จะต้องใช้ถุงยางคุมกำเนิดกับภรรยาตนเอง เพียงเพื่อป้องกันการมีบุตร จึงต้องมีการทำหมันชายแทน ซึ่งแบบนี้นอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ยังเป็นการทำหมันถาวร ซึ่งการแก้ไขเมื่อต้องการจะมีบุตรอีกจึงเกิดได้ยากและค่าใช้จ่ายสูง จึงเป็นที่มาของความคิดในการคิดค้น ผลิตยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ายาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับ ผู้ชาย ในช่วงแรกๆ ได้ทดลองทำให้ฤทธิ์ยาสามารถยับยั้งมิให้สมองหลั่งฮอรโมนเพศชายที่สำหรับสร้างสเปิร์ม หรือฮอรโมนที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังระวัง หรือหวั่นๆ เรื่องสมรรถภาพทางเพศจะถูกรบกวนด้วย ต่อมาได้ค้นคว้าหาตัวยาที่อาศัยกลไกอื่น ที่ไม่ต้องเกี่ยวกับฮอรโมนเพศชาย ซึ่งพบว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งนำโดย Dr. Aarnoud C van der Spoel จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ของอเมริกา ได้ค้นพบว่ามีตัวยาชื่อ NB-DNJ ( N-butyldeoxynojimycin) ซึ่งใช้รักษาโรคผิดปกติทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่ชื่อ Guacher diseases แล้วพบว่าผู้ชายที่รักษาโรคด้วยยาตัวนี้ เกิดเป็นหมันชั่วคราวโดยไม่กระทบต่อระดับฮอรโมนเพศชาย Testosterone
จนถึงปัจจุบันนี้ นักวิจัยในอิสราเอลได้สามารถผลิตยาเม็ดที่สามารถยับยั้งการทำงานของตัวสเปิร์มก่อนที่มันจะเข้าไปในรังไข่ได้สำเร็จ โดยยาเม็ดชนิดนี้จะไปกำจัดโปรตีนชนิดหนึ่งในตัวสเปิร์มที่จำเป็นต่อการตั้งการครรภ์ของผู้หญิง ดังนั้นตัวสเปิร์มยังคงเข้าไปถึงมดลูก แต่ไม่สามารถผสมพันธุ์กับไข่ได้ Professor of Haim Breitbart ของ มหาวิทยาลัย Bar-Ilan ยังได้ทดสอบกับหนูพบว่า เมื่อหนูรับยาตัวนี้ในปริมาณหนึ่งจะสามารถเป็นหมันชั่วคราวได้ 1 เดือน ในขณะที่เมื่อให้ปริมาณที่สูงขึ้นหนูทั้งหมดจะมีระยะเป็นหมันชั่วคราวได้เพิ่มขึ้น 3 เดือน โดยไม่พบว่าผลข้างเคียงใดๆ พฤษติกรรมทางเพศสัมพันธ์ของหนูก็ยังคงเดิม แต่อย่างไรก็ตาม เค้าจะเริ่มทดสอบกับมนุษย์ภายในปีหน้า เพื่อศึกษาผลกระทบต่างๆ ก่อนนำมาสู่ท้องตลาด   อนาคตอันใกล้นี้ ผู้ชายคงต้องรับหน้าที่การป้องกันการตั้งครรภ์บางแล้วครับ แต่ต้องจำไว้ว่า ยาตัวนี้ไม่ได้ป้องกันการเกิดโรคนะครับ.....เพราะฉะนั้นการรักเดียวใจเดียว และมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเราแค่คนเดียวจะเป็นการดีที่สุดครับผม.....