วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

รถยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Car)

หลายๆท่านที่ใช้เส้นทางจราจรโดยเฉพาะในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล คงรู้สึกเหมือนๆกันนะครับ ว่า..."ทำไมรถติดจริงๆนะเนี๊ย" ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า...เที่ยง...เย็น....วันทำงาน หรือ วันหยุด.... หรือแม้หลายจังหวัดเองก็คงเจอปัญหาแบบนี้เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็คงไม่น่าแปลกใจ หลายๆท่านก็เดากันได้ เพราะ จำนวนรถที่เพิ่มขึ้นทุกปีในขณะที่จำนวนเส้นทางมีจำกัด ลองดูสถิติกราฟด้านล่างแสดงจำนวนรถใหม่ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกกันครับ จะเห็นได้ชัดเจนว่าตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปี 2555 จำนวนรถใหม่จดทะเบียนมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี


จากข้อมูล ณ  วันที่  31 สิงหาคม 2556 จำนวนรถที่จดทะเบียนสะสมทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 34 ล้านคันจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯถึง 8 ล้านคัน เห็นข้อมูลแบบนี้แล้ว คงเดาไม่ยากเลยว่า ผู้ใช้บริการทางท้องถนนต้อง "ทำใจ" ครับ ผมเองขับรถเป็นประจำ เคยคิดเล่นๆว่าถ้ารถยนต์ที่เราขับอยู่เกิดขับเองได้ สามารถพาเรากลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ก็คงจะดีไม่น้อย.... แต่แล้วความหวังเล็กๆของผมก็จะเป็นจริง เหมือนหลายๆค่ายรถได้พัฒนารถยนต์ให้มีระบบอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยีต่างๆที่มีเช่น ระบบกล้องความไวสูงรวมกับระบบ image processing ผสานกับเทคโนโลยีเรดาห์ และGPS และรวมกันสมการคณิตศาสตร์ชั้นยอด ก็สามารถทำให้รถยนต์เหล่านี้ สามารถขับเคลื่อนเองได้...

  

บริษัท Nissan หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นได้มีการพัฒนารถยนต์อัจฉริยะ ดังกล่าวขึ้นมา โดยคาดว่าจะสามารถนำออกขายได้ในปี พ.ศ. 2563 ลองมาดูการ Review ณ สถานที่ทดสอบรถจริงกับ คุณบัญชา ชุมชัยเวทย์ ในรายการจอโลกเศรษฐกิจย้อนหลัง ได้จาก link นี้ครับ>> http://goo.gl/GI5hm5

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

แถบสีเล็กๆ บนหลอดยาสีฟัน


หลายๆคนคงเคยเห็นภาพด้านบน (ที่ไม่มีรูปกากบาท) ปรากฏอยู่ในโลกออนไลน์กันนะครับ ซึ่งเค้าบอกว่า "ให้ลองสังเกตแถบสีเล็กๆตรงปลายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น หลอดยาสีฟัน ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นสีเขียว มันทำมาจากธรรมชาติ ถ้าสีดำทำมาจากสารเคมี เป็นต้น " ซึ่งในความจริงแล้ว การกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดสิ้นเชิง ครับ แถบสีที่ว่าเป็นเพียง ตัวระบุตำแหน่ง  (marker) สำหรับกระบวนการพิมพ์ (Printing process) เท่านั้น บางครั้งภาษาอังกฤษจะเรียกตัวนี้ว่า "Eye-Mark" หรือ "Eye spot" ซึ่งตัวแถบที่ว่านี้ จะสามารถทำให้ตัวเซนเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ สามารถตัวจับตำแหน่งระบุพิกัดของสิ่งที่จะพิมพ์ได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้กระบวนการพิมพ์ถูกต้องมากขึ้น รู้ตำแหน่งการพิมพ์ด้านหน้า และด้านหลังได้แม่นยำ อีกทั้งยังสามารถช่วยในกระบวนการหยิบจับ ของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ตรงตำแหน่งเดิมทุกครั้ง ถ้าลองไปสังเกตผลิตภัณฑ์ก็จะเห็นได้ว่า แถบสีเล็กๆซึ่งเป็นสีอะไรก็ได้ ไม่เฉพาะสีตามที่กล่าวอ้างครับ ยังไงอาจจะลองดูกระบวนการพิมพ์ที่มีเจ้า "Eye-Mark" จาก Clip ด้านล่างดูนะ ให้สังเกตแถบดำๆ เครื่องจะหนีบ ณ จุดตรงนั้นพอดี


วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

10 เทคโนโลยีก่อกำเนิด ปี 2555 (10 Emerging Technologies 2012)

1. เซลล์ไข่ต้นกำเนิด (Egg Stem Cells) การค้นพบครั้งนี้จะสามารถเพิ่มโอกาสให้ผู้หญิงอายุมากสามารถมีบุตรได้


2.  การแปลงฟูเรียร์แบบเร็ว (A Faster Fourier Transform) เป็นเทคนิคทางคณิตศาสตร์ ที่จะทำให้โลกทางดิจิตอลปัจจุบัน รวดเร็วมากกว่าที่เคยเป็น


3. โซล่าเซลล์จากบริษัท Semprius  (Ultra-Efficient Solar Cell from Semprius) ที่จะสามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้เทียบเคียงเชื้อเพลิงจากถ่านหินและปิโตรเลียมในอนาคต (Fossil Fuels)



4. นาโนพอร์ ซีเควนซิ่ง (Nanopore Sequencing) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ลำดับเบสของสาย DNA สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์เฉพาะบุคคล การตรวจหาเชื้อก่อโรคในอาหาร รวมถึงการพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์


5. การถ่ายภาพโดยใช้สนามแสง (Light-Field Photography) เป็นเทคโนโลยีที่เราจะสามารถโฟกัสรูปภาพ ภายหลังที่เราถ่ายรูปนั้นมาแล้ว 



6. การระดมทุน (Crowdfunding)  เทคนิคการระดมเงินทุนจากคนต่างๆทั่วโลกที่สนใจจะลงทุนในไอเดียใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนให้ไอเดียดีๆเหล่านั้นกลายเป็นธุรกิจได้จริงๆ (ลองดูรายละเอียดเพิ่มจาก web คนไทยได้ Click )


 7. ระบบเครือข่ายเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Microgrids) จะทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ชนบท ห่างไกลความเจริญได้มีไฟฟ้าใช้ เช่น ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่างหรือชาร์จโทรศัพท์มือถือ



8. การค้นหาวัสดุด้วยเทคนิคที่มีความเร็วสูง (High-Speed Materials Discovery) เป็นหนึ่งในวิธีใหม่ที่ใช้หาวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน


9. ทรานซิสเตอร์แบบสามมิติ (3-D Transistors) จะทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่มีหน่วยประมวลผล (Processor)  ทำงานรวดเร็วขึ้น แต่จะกินไฟน้อยลง
 

10.เฟสบุ๊คแบบช่วงเวลา (Facebook's Timeline)  สำหรับ Facebook ทุกคนคงทราบกันดี เพราะส่วนใหญ่คนในสังคมออนไลน์มักจะต้องมี Facebook ที่ไว้คอยบอกเล่าเรื่องราวตัวเอง หรือมีติดต่อสื่อสารคนจำนวนมากๆพร้อมกัน ในเวลาอันรวดเร็ว และปัจจุบัน Facebook ก็ได้เปลี่ยนโฉมเป็นแบบ Timeline กันหมดแล้ว  

 


ข้อมูลนี้เอามาจากวารสาร Technology Review ของมหาวิทยาลัย MIT (Massachusette Institute of Technology)  ครั้งหน้าผมจะเล่ารายละเอียดในแต่ละข้อหัวนะครับ หรืออาจจะอ่านเป็นฉบับภาษาอังกฤษได้จาก Reference ของแต่ละหัวข้อได้เลยครับ

Ref>>Technology Review Published by MIT

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สิ่งกีดขวางลดการกระแทกจากการชน (Crash Cushion)

จากข่าวการเสียชีวิตของ "น้องมายด์" ลูกสาวคนสุดท้องของดารารุ่นใหญ่ "โกวิท วัฒนกุล"  ที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนเข้ากับแยกตัววาย แถวสะพานรัชวิภา และทำให้รถตกลงมาจากสะพานเป็นเหตุให้เสียชีวิต ทำให้หลายฝ่ายเริ่มออกมาตั้งคำถามว่า "แยกที่มีลักษณะรูปตัววาย จะทำให้เกิดเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ?" อย่างไรก็ตามนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกกับแยกตัววาย ยังมีเหตุการณ์อื่นๆที่มีลักษณะอุบัติเหตุเช่นเดียวกัน....
     
อุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่คาดว่าอาจจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว โดยทางรัฐบาลอาจนำมาติดตั้งเร็วๆนี้ ก็คือ Crash Cushion ซึ่ง Crash Cushion เปรียบเสมือนอุปกรณ์ดูดซึมพลังงาน (Energy absorbing device)จากการชน ซึ่งมันจะทำหน้าที่ช่วยลดแรงกระแทก โดยการกระจายแรงที่เกิดขึ้นจากการชนให้กับวัสดุของตัว Crash Cushion พูดง่ายๆ คือแทนที่รถเราจะพังมาก กลับเป็นเจ้าตัว Crash Cushion จะพังแทน ทำให้มันช่วยลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารในรถได้  ลองมาดู Clip การทดสอบเจ้าตัวนี้กัน

 
ถ้าถามว่าเจ้า อุปกรณ์ตัวนี้จะรองรับกับ รถที่จะขับชนด้วยความเร็วเท่าไร ซึ่งจริงๆแล้วอุปกรณ์ตัวนี้มันสามารถออกแบบได้หลายหลาก รองรับการชนและความเร็วได้หลายช่วง ในท้องตลาดที่วางขายมีรายงานว่ามันสามารถช่วยลดแรงกระแทก จากความเร็วไม่เกิน 100 km/h   อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันยังคงไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถป้องกัน อุบัติเหตุ จากท้องถนนได้ 100 % เพราะฉะนั้นการออกไปเผชิญบนท้องถนนแต่ละครั้งนั้น หมายถึงชีวิตเรามีความเสี่ยงอยู่ทุกวินาทีครับ....


วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ยอดจองรถ Motor Expo 2011

เรามาดู 10 อันดับยี่ห้อรถ ที่มียอดจองสูงสุดในงาน  Motor Expo 2011 กันครับ โดยในปีนี้เนื่องจากมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ของไทย ค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่าง Toyota และ Honda ประกาศไม่เปิดรับจองรถภายในงานครับ
1. NISSAN             4,711 คัน
2. MAZDA             4,523  คัน
3. FORD                 3,495  คัน
4. ISUZU                3,323  คัน   
5. MITSUBISHI     3,246  คัน
6. CHEVROLET    2,668  คัน
7. HYUNDAI            922  คัน
8. PROTON              595 คัน
9. SUZUKI                571 คัน
10. BMW                   439 คัน
และอื่นๆ   รวมทั้งหมดในงาน 27,021 คัน รายละเอียดเพิ่มเติม>> http://www.motorexpo.co.th/2011/bestsell.php?sort=1&f=sum

หากเราเปรียบเทียบ ยอดจองรถในงาน Motor Expo 2010
1. Toyota            8,309  คัน
2. Honda            3,919  คัน
3. Isuzu              2,902  คัน
4. Nissan           2,897  คัน
5. Mazda           2,727  คัน
6. Misubishi       1,930 คัน
7. Chevrolet       1,681 คัน
8. Ford              1,232 คัน
9. Proton           1,173 คัน
10. Hyundai          832 คัน
 และอื่นๆ   รวมทั้งหมดในงาน 33,058 คัน รายละเอียดเพิ่มเติม >> http://www.motorexpo.co.th/2010/bestsell.php
  เราสามารถสังเกตได้ว่ายอดจองของปีนี้ลดต่ำลงจากปีที่แล้วถึง 5,000 คัน เป็นเพราะอะไรหรือ มีสาเหตุจากหลายปัจจัยครับ ปัจจัยแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องน้ำท่วม ที่ทำให้คนส่วนใหญ่เลี่ยงการจองรถช่วงนี้ไปก่อน รออะไรๆให้ดีขึ้นก่อน ปัจจัยที่สอง ค่ายรถยนต์ยักษัใหญ่ทั้ง Toyota และ Honda ไม่ได้มีการเปิดให้จองซึ่ง 2 ยี่ห้อนี้ถือว่าเป็นยี่ห้อที่คนไทยมั่นใจ และไว้ใจมากทีเดียว แต่ทว่าสมมุติถ้าหักลบกับปีที่แล้ว และส่วนหนึ่งหันไปจองรถยี่ห้ออื่น ยอดจองของปีนี้กับปีที่แล้วจึงไม่น่าต่างกันมากครับ แต่สิ่งที่ปีนี้พิเศษกับปีที่แล้วมากๆคือ "นโยบายรถคันแรก"  ที่มีส่วนลดมากถึง 1 แสนบาท แต่ว่าทำไมยอดจองในงานนี้จึงไม่พุ่งกระชูดอย่างที่คาดการณ์กันไว้ครับ หรือ นโยบาลนี้อาจจะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ถูกจุดกับคนไทยส่วนใหญ่จริงๆ คนไทยส่วนใหญ่ซื้อรถคันแรก เค้าพิจารณาที่ไหนกันแน่? เพียงเงินส่วนลด หรือความพึงพอใจมากกว่า ยังไงเราลองมาลุ้นกันดูอีกครั้งนะครับ ในงาน Motor Show ว่าผู้คนจะแห่กันจองอย่างที่รัฐคาดหวังกันไว้หรือไม่

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ผลจากการใช้ถุงห่อรถกันน้ำท่วม

การคลุมหรือห่อหุ้มรถ เพื่อไม่ให้น้ำเข้ามาทำลายตัวรถเรา ได้กลายเป็นที่นิยมอีกวิธีหนึ่งดังที่ผมเคยได้รวบรวมเอาไว้ "วิธีป้องกันรถจากน้ำท่วม" แล้ววิธีดังกล่าวมันป้องกันได้จริงหรือ? วันนี้เราจะลองมาดูกันครับ...


 สภาพของรถ Mini คันหนึ่งหลังจากน้ำท่วม

ภาพด้านบน หลายท่านอาจจะเคยเห็นสื่อต่างๆกันแล้ว เป็นภาพรถยนต์ยี่ห้อดังคันหนึ่งที่มีคนอ้างว่า "เจ้าของรถคันนี้ ได้มีการหุ้มห่อรถคันนี้โดนใช้พลาสติกกันน้ำเป็นอย่างดี และหลังจากน้ำลดได้แกะพลาสติกกันน้ำออก และเค้าบอกว่าน้ำไม่ได้เข้ารถเลย แต่ต้องตกใจเพราะเห็นราขึ้นเต็มรถ อย่างที่เห็นในรูปแทน " จากรูปด้านบน ผมเองก็ไม่สามารถทราบว่าน้ำไม่ได้เข้ารถจริงหรือไม่ น้ำอาจจะเข้าไปแล้วแห้งสนิทก็เป็นไปได้ หรือน้ำไม่เข้าจริงอย่างที่มีคนบอกกัน แต่จากภาพที่เราเห็นเราสามารถเชื่อได้อย่างแน่นอน ว่าถ้าเราคันนี้น้ำเข้าท่วมด้านในจริง ก็คงไม่ถึงระดับพวงมาลัย แต่สิ่งที่เราเห็นได้คือ ราขึ้นที่พวงมาลัยด้วย...

สภาพภายในรถต่างๆ หลังจอดเราใกล้บริเวณน้ำท่วม

ภาพด้านบนเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่เจ้าของรถ ต่างบอกกันว่าจอดรถในที่อาคารหรือบริเวณบ้าน โดยน้ำไม่ได้เข้ารถแน่นอน แต่ไฉนเลย เจ้ารายังขึ้นเพียบ ลองดูภาพจากเจ้าของรถคันหนึ่งเพิ่มเติมได้ จากนี้ครับ >> http://www.bmwsociety.com/board/showboard.asp?id=137353

ฉะนั้นจากตัวอย่างที่เห็น สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนเลยครับว่า การใช้ถุงห่อหุ้มรถเพื่อกันน้ำท่วมไม่ใช่วิธีที่ดีครับ เพราะ

1. มีโอกาสเสี่ยงมากที่ถุงอาจมีรอยรั่วโดยที่เราเองไม่ทราบ ถ้าเป็นการนำรถเข้าไปจอดในถุง เศษหินเล็กๆที่อยู่บนพื้น หรือติดกับยางรถ มีโอกาสทำให้ถุงเกิดรอยรั่วน้ำซึมผ่านเข้าได้ง่ายครับ

2. แม้จะโชคดีกันน้ำได้ 100% แต่อาจจะไม่สามารถกันเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ครับ เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในบริเวณรถดังที่เห็นในรูป เนื่องจากความชื้นและสภาพแวดล้อมที่เจ้าเชื้อราชอบพอดี ทำให้มันกระจายตัวและเข้าไปยึดพื้นที่ในรถอันเป็นที่รักของเรา สนใจรายละเอียดเรื่องน้องเชื้อราลองดูจาก Web นี้ครับ >>http://www.school.net.th/library/webcontest2003/100team/dlns132/page01.html

 ภาพการเจริญเติบโตของรา (Mold)

ถ้าน้ำท่วมอีก การป้องกันน้ำท่วมกับรถเราที่ดีที่สุดตอนนี้คงเป็น การขับรถหนีน้ำท่วม หรือ จอดรถยังที่สูงๆ โดยที่เราก็ต้องหมั่นไปเยี่ยมเจ้ารถ เปิดประตูรถบ้าง Start รถบ้าง อย่าให้มันอยู่เดียวดายเกินอาทิตย์หนึ่งครับ และหากจะขายถุงกันน้ำห่อรถ คงต้องมีนวัตกรรมใหม่ใส่เพิ่มไปด้วยเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราพวกนี้ อาจเป็นพลาสติกทีมีสารเคลือบกันชื้น หรือสารระเหยที่สามารถใส่ในรถควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นให้คงที่ได้ครับ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีคันกั้นน้ำ ของต่างประเทศ

ผ่านมาแล้วหลายเดือนกับมหันตภัยน้ำท่วมที่ยังคงไม่จบสิ้น เจ้ามวลน้ำมหาศาลดังกล่าวยังมีโอกาสสูงมาก ที่จะไหลทะลักเข้าท่วมทุกพื้นที่ใน กทม. อย่างเท่าเทียม (อาจจะ 1 -2 เมตรทุกเขตในกทม. ) และเราทุกคนหวังว่า มหาวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้จะผ่านพ้นไปด้วยดี...


สิ่งหนึ่งที่เราคงได้เห็นจากความสามารถของคนไทยเราคือ "วิธีสร้างคันกั้นน้ำ" ที่ใช้กันตั้งแต่ คันดิน หินคลุก กระสอบทราย อิฐบล็อก อิฐมวลเบา แผ่นเหล็ก ท่อปูน ต่างๆ นานา ซึ่งแต่ละวิธีการจะมีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกัน เราคงไม่ต้องไปพูดถึงรายละเอียดมากนักเพราะคิดว่าทุกท่านคงเคยเห็นตามสื่อต่างๆ กันเป็นอย่างดี

วันนี้ ลองมาดู เทคโนโลยีคันกั้นน้ำของต่างประเทศ กันบ้างนะครับ ว่าเค้าจะมีวิธีสร้างหรืออุปกรณ์แบบไหนที่ใช้ทำเป็นคันกั้นน้ำ

 1. Floodstop จากประเทศอังกฤษครับ รูปร่างคล้ายกับแผงกั้นพลาสติก ใช้สำหรับแบ่งช่องทางเดินรถการจราจรบ้านเรา ดังรูปด้านล่างเลยครับ
 
หลักการของมันไม่ยุ่งยากเลย แค่ออกแบบให้เป็นตัวต่อคล้าย (LEGO) สามารถเอามาประกอบต่อเป็นแนวยาวได้ ระหว่างรอยต่อของแต่ละอันก็จะมียางป้องกันไม่ให้น้ำซึมไปได้ ด้านล่างก็จะมียางกันน้ำซึมเช่นกัน วิธีการถ่วงน้ำหนักก็ใช้น้ำที่ท่วมมาใส่ด้านใน เพื่อเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก Clip VDO ใช้งานก็สามารถดูได้จากด้านล่างนี้เลยครับ


ข้อดีของมันคือ สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ไม่สกปรก นำมาใช้ซ้ำได้ ง่ายต่อการเก็บรักษา ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือก 2 ขนาดตามความสูง 0.5 เมตร และ 0.9 เมตร


ราคาของมันยังค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นสินค้าจากต่างประเทศ เทคโนโลยีน่าสนใจดีซึ่งประเทศไทยเราสามารถผลิตใช้เองได้ (แต่ต้องคำนึงเรื่องสิทธิบัตรด้วยนะครับ) เราอาจจะออกแบบให้ต่อขึ้นเป็นกำแพงเพื่อเพิ่มความสูงได้อีก

2.  WIPP (Water Inflated Property Protectors) Flood Barriers ของบริษัท Hydrological Solutions จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีรูปร่างคล้ายบอลลูนยาวๆ ดังรูปด้านล่างครับ

บอลลูนกั้นน้ำนี้มีหลายขนาดมากครับ วิธีติดตั้งก็จะเป็นไปตามรูปภาพด้านล่าง และมีการใส่น้ำเข้าไปยังบอลลูนนี้เพื่อเป็นการใส่น้ำหนักเข้าไปครับ

 
เจ้าบอลลูนคันกั้นน้ำนี้ จะอาศัย 3 องค์ประกอบหลักๆ ในการทำงาน คือ
1. ผนังเหนือน้ำ (Freeboard)  คือ ผนังความสูงที่เหนือจากผิวระดับน้ำ โดยปกติควรให้มี Freeboard มากกว่า 25% เมื่อน้ำเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 1 m/s ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าบอลลูนยักษ์มีความสูง 1 เมตร มันจะสามารถกั้นน้ำได้ดีที่ระดับน้ำท่วมต่ำกว่า 75 เซนติเมตร  เพื่อรองรับคลื่นที่อาจเกิดขึ้นได้
2. แรงเสียดทานของพื้นผิว (Surface Friction) เป็นแรงระหว่างบอลลูนยักษ์กับพื้นผิวที่มันสัมผัส เป็นแรงสำคัญที่ช่วยให้น้ำไม่สามารถหมุดรั่วยังด้านล่างได้ ถ้าพื้นผิวสัมผัสไม่เรียบ ตัวอย่างเช่น พื้นดิน เราอาจเพิ่มแรงดังกล่าวโดยการให้มี Freeboard มากขึ้น
3. ระบบแผ่นปะทะด้านใน (Internal Baffle System) บอลลูนคันกั้นน้ำนี้จะมีระบบด้านในที่สำคัญอีกหนึ่ง เพื่อป้องกันแรงดันมหาศาสของน้ำ คือมันจะแบ่งด้านในของบอลลูนออกเป็นอย่างน้อยอีก 2 ช่องตามยาว โดยช่องแต่ละช่องสามารถยุบ หรือพองตัวได้โดยอิสระต่อกัน เมื่อมีแรงปะทะหรือมวลน้ำมากขึ้นในฝั่งหนึ่ง ช่องที่โดยปะทะดังกล่าวจะสามารถพองตัวมากกว่าอีกฝั่ง :ซึ่งการพองตัวดังกล่าวทำให้มันช่วยรักษาสมดุล และช่วยกันแรงปะทะของน้ำไว้ได้

ข้อดีของบอลลูนคันกั้นน้ำนี้ คือสามารถนำไปใช้งานในพื้นที่บริเวณกว้างใหญ่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องวางบนพื้นผิวที่เรียบเท่านั้น ความสูง สูงสุดที่บอลลูนนี้สามารถกันน้ำได้เป็นอย่างดี คือ 1.8 เมตร (ความสูงบอลลูน 2.4 เมตร ซึ่งสามารถป้องกันคลื่นน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้)



3. Geodesign Barriers จาก ประเทศสวีเดน

คันกั้นน้ำของบริษัท Geodesign ของปรเทศสวีเดนนี้ ถือว่าเป็นคันกั้นน้ำชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด หลักการสร้าง และวิธีการทำงานไม่ซับซ้อน สามารถดูได้จากภาพด้านล่าง ขั้นแรกเราจะออกแบบให้มีฐานรองรับเอียงอยู่ที่ 45 องศา (รูปที่ 1 และ 2) หลังจากนั้นก็นำเอาแผ่นอะลูมิเนียม หรือ แผ่นพลาสติกแบบแข็ง มาตั้งบนฐานรองรับ (ดังรูปที่ 3) สุดท้าย นำพลาสติกที่กั้นน้ำได้มาคลุมอีกชั้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะลุเข้ามา (ดังรูปที่ 4)


วิธีการออกแบบดังกล่าว เราสามารถเสริมความสูงได้เรื่อยๆ ปัจจุบันคันกั้นน้ำดังกล่าวสามารถกันน้ำได้ที่ระดับความสูง 2.4 เมตร



4. SOSAVE sandbag จากประเทศจีน



มันก็คือ "กระสอบทรายอัจฉริยะ" นั่นเองครับ รูปร่างก็เหมือนกระสอบทรายที่เราใช้กันอยู่แต่เป็นการออกแบบจากบริษัท SOSAVE ของประเทศจีน ก่อนใช้มันจะมีรูปร่างคล้ายผ้ากระสอบธรรมดา น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 400 กรัม แต่เมื่อนำมาใช้งาน ให้เอาผ้ากระสอบดังกล่าว ใส่ไปในน้ำประมาณ 3-5 นาที หลังจากนั้นผ้ากระสอบดังกล่าวจะขยายตัวขึ้น และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 15 กิโลกรัม


 หลักการการทำงานของเจ้ากระสอบทรายอัจฉริยะ คือ การใช้วัสดุพิเศษที่สามารถดูดซับน้ำเก็บไว้ หรือ จะพองตัวออกเมื่อทำปฎิกิริยากับน้ำ ทำให้กระสอบทรายดังกล่าวมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จนเหมือนกระสอบทรายที่เราใช้กันทั่วไป และมันยังสามารถจะกลับคืนรูปได้ โดยการทำให้พวกมันแห้ง ไม่เปียกน้ำภายใน 2-3 สัปดาห์ ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าซื้อเก็บไว้ใช้เลยทีเดียว
 

จากตัวอย่างที่ได้นำเสนอด้านบน จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีคันกั้นน้ำของต่างประเทศก็ไม่ได้จะยุ่งยากซับซ้อน มากมายอะไรนัก เพราะฉะนั้นคงถึงเวลาแล้ว ที่นักวิจัยของไทยจะมาช่วยกันพัฒนาคันกั้นน้ำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสามารถช่วยป้องกันความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจไทยที่เสียหายอย่างหนักหน่วง เหมือนเช่น ณ ในเวลานี้ อีกทั้งเทคโนโลยีคันกั้นน้ำยังคงเป็นสิ่งจำเป็นไปอีกนานแสนนาน... ตราบใดที่ประเทศไทยเรา ยังไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาเรื่องการระบายน้ำได้ดีอย่างที่เห็นกันในทุกวันนี้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีป้องกันรถจากน้ำท่วม


มหันตภัยน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเรายังไม่ผ่านพ้นไป  พื้นที่ที่กำลังเฝ้าระวังก็ยังคงต้องเตรียมตัวรับมือกับ มวลน้ำ มหาศาล ที่จะมาเยือน ผู้คนจึงต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีค่า ให้พ้นภัยจาก เจ้ามวลน้ำ จอมทำลายล้างครั้งนี้ให้ได้  หนึ่งในของมีค่า ที่หลายๆครอบครัวเป็นกังวล และเป็นปัญหาเรื่องการเก็บให้พ้นจากจอมวายร้ายครั้งนี้ ก็คือ "รถยนต์" ซึ่งตอนนี้วิธีที่ดีที่สุด ในการเก็บรถยนต์ให้ปลอดภัยจากน้ำท่วมคงหนีไม่พ้น การจอดรถไว้ในตึกสูง ที่มียามและมีระบบป้องกันขโมยที่ดีที่สุด แต่ทว่าพื้นที่ดังกล่าวมีจำกัด ในขณะที่จำนวนรถยนต์มีมากมาย แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี ให้รถอันเป็นที่รักของเราปลอดภัย
 
 
วิธีที่อาจจะใช้ได้ผล สำหรับการป้องกันน้ำท่วมรถ ก็คือ การคลุมหรือห่อหุ้มรถ ของเราไม่ให้เจ้ามวลน้ำตัวร้ายเข้าไปทำลาย หลายๆท่านอาจจะเคยเห็นวิธีการและภาพที่ Post ใน Internet มาแล้ว อย่างไรก็ตามผมจึงรวบรวมและนำมาเสนออีกครั้ง เพื่อจะได้ช่วย Promote อีกแรงครับ
วิธีที่ 1

เป็นผลงานจาก วิทยาลัยการอาชีพวังสะพุง จังหวัดเลยครับ เค้าได้ออกแบบ "ถุงซิปกันน้ำท่วมรถ" โดยมีการตัดเย็บถุงพลาสติกตามขนาดของรถ ถุงพลาสติกดังกล่าวจะทำจากวัสดุโพลิเมอร์เอสทีลิน ซึ่งเป็นพลาสติกหนาสามารถกันน้ำได้ มีซิบกันน้ำสำหรับเปิดเป็นช่องเพื่อขับรถเข้าไปเก็บในถุง รถยนต์จะวิ่งเข้าไปจอดอยู่ด้านในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่มีความหนาและทนทาน ก่อนที่จะรูดซิปยาวครอบทั้งคันรถ 

อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเค้ามีขายตามท้องตลาดแล้วยังนะครับ ลองหาซื้อกันดู หรือ ลองไปสั่งตัดเย็บ มาใช้กับรถเราได้นะครับ  แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ถ้าน้ำท่วมทั้งคันด้านในจะเปรียบเสมือนพองอากาศ ที่อาจจะพัดลอยไปตามน้ำก็ได้นะครับ เพราะฉะนั้นเมื่อรูดซิปปิดแล้ว อาจต้องหาอะไร มาผูกหรือยึดรถเรา เพื่อไม่ให้มันลอยไปกับเจ้ามวลน้ำตัวร้ายด้วยนะครับ

วิธีที่ 2

  การใช้ผ้าคลุมรถครับ คือการเอาผ้าคลุมรถแทนที่จะใส่จากด้านบน ก็เอามาใส่จากด้านล่างแทนครับ แต่ต้องเป็นผ้าหรือเป็นวัสดุที่สามารถกันน้ำได้เท่านั้นครับ เมื่อคลุมเสร็จอาจต้องติดเทปกาวที่กั้นน้ำรอบๆ ตัวรถด้วยนะครับ จะช่วยให้ผ้าคลุมรถดังกล่าวไม่หลุดออกมาเมื่อเกิดน้ำท่วมครับ

วิธีที่ 3

การใช้ผ้าใบ หรือ ผ้ายางห่อหุ้มรถครับ ตามรูปเลยครับ วิธีนี้ดูง่ายและสะดวกดี แต่คงป้องกันความสูงของระดับน้ำท่วมได้ระดับหนึ่งครับ

วิธีที่ 4
วิธีนี้เป็นวิธีที่เรา มีอะไรที่พอจะใช้ได้ ที่กั้นน้ำได้ ก็ใช้ห่อรถเลยครับ อันนี้ไม่ต้องคิดมากครับ เข้าตาจนก็ทำแบบนี้แหละครับ ดีกว่าปล่อยให้เจ้ามวลน้ำเข้ารถโดยตรงครับผม ^^

อย่างไรก็ตาม วิธีต่างๆที่นำเสนอด้านบน ก็ยังไม่มีใครมายืนยัน 100 % ว่าจะกั้นน้ำเข้ารถได้ดี มากน้อยขนาดไหนนะครับ อย่างไงก็ลองทดสอบกันดู ได้ผลดีอย่างไรก็บอกต่อกันด้วยนะครับ จะได้เป็นวิธีมาตรฐานที่จะช่วยป้องกันรถเราจากภัยน้ำท่วม ที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นทุกปีสำหรับประเทศไทยเราครับผม ^^

Update เพิ่มเติม ลองดู ผลจากการใช้ถุงห่อรถ ครับ


วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

นโยบายรถคันแรก (11 กย 2554)

ช่วงนี้ใครหลายคนที่กำลังจะซื้อรถป้ายแดง ก็คงกำลังรอ "นโยบายรถคันแรก ลดไม่เกิน 1 แสนบาท" อยู่นะครับ  และในวันนี้ (11 กย 2554) ก็ได้มีนโยบาย ออกมาเพื่อจะเข้า ครม. เรียบร้อยแล้วครับ 

เงื่อนไข
- ผู้ซื้ออายุ 21 ปีขึ้นไป
- ไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อน ไม่เคยมีประวัติซื้อรถ
- ซื้อระหว่าง 1 ต.ค. 54 - 31 ธ.ค. 55
- รถป้ายแดง ราคารถไม่เกิน 1 ล้านบาท
- เครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซี
- รถยนต์ที่ผลิตในประเทศเท่านั้น
- ต้องครอบครองไม่น้อยกว่า 5 ปี

การคืนเงิน
- เท่ากับค่าภาษีที่จ่ายจริงไม่เกิน 1 แสนบาท/คัน
- คืนเมื่อครอบครอง 1 ปีไปแล้ว
- เริ่มจ่ายคืนตั้งแต่ 1 ต.ค. 55 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตามนโยบาลรถคันแรกได้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นทุกท่านสามารถติดตามรายละเอียดต่างๆได้จาก Blog>> http://thaielectionnews.blogspot.com/2011/09/blog-post.html นี้ครับ  ซึ่งมีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับนโยบาลต่างๆ ทั้งบ้านหลังแรก, ขึ้นเงินป.ตรี, ขึ้นเงินเดือนราชการ เป็นต้น http://thaielectionnews.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การแกะสลักวัตถุระดับนาโนเมตร

 แผนที่ประเทศไทยบนเส้นผมมนุษย์

Prof. Dr. Hans Hilgenkamp   ศาสตราจารย์ฟิสิกส์จาก University of Twente ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้วาดภาพแผนที่ประเทศไทย ลงบนเส้นผมมนุษย์ โดยใช้เทคนิค Focused Ion Beam ภาพที่เค้าวาดนี้ได้มอบ เป็นของขวัญให้แก่ประเทศไทยเรา ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4 (4th APEC Youth Science Festival: AYSF) ระหว่างวันที่ 20-26 ส.ค.54 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ไทย เพราะฉะนั้นเราจะมาดูหลักการพื้นฐานง่ายๆกันนะครับ ว่า เทคนิค Focused Ion Beam นี้ทำงานอย่างไร


หน้าตาของเครื่อง Focused Ion Beam นี้ก็จะคล้ายกับเครื่อง Scanning Electron Microscope (SEM) ที่ใช้สำหรับถ่ายรูประดับ Mirco หรือ Nano ทั่วไป หลักการการทำงานก็ใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันตรงที่ Focused Ion Beam จะใช้ ไอออน ในขณะที่ SEM จะใช้ อิเล็กตรอน ในการยิงเข้าหาวัตถุที่เราสนใจ  เนื่องจากไอออนจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า และหนักกว่าอิเล็กตรอน ทำให้มีโมเมนตัมที่มากกว่าในพลังงานที่เท่ากัน ไอออนจึงเกิดปฎิกิริยาส่วนใหญ่กับอิเล็กตรอนชั้นนอกของวัตถุที่เรายิง ซึ่งไอออนสามารถทำลายพันธะ (chemical bonds) ของอะตอมต่างๆในวัตถุนั้นๆได้

โดยทั่วไป Focused Ion Beam จะสามารถทำงานได้ 3 อย่างคือ 1. การถ่ายภาพ (imaging) 2. การแกะสลัก (Etching) และ 3. การเคลือบผิว (Deposition)

ในการแกะสลักแผนที่ประเทศไทยบนเส้นผมมนุษย์ก็จะใช้ Etching Mode โดย Focused Ion Beam จะใช้ Ga+ ไอออน ยิงเข้าไปยังเส้นผมด้วยพลังงานค่าหนึ่ง ที่พอจะทำให้อะตอมบนเส้นผมหลุดออกมาได้ โดยเราสามารถที่จะแกะสลักรูปต่างๆได้โดยการใช้ Image processing รวมกับการควบคุมทิศทางของลำไอออน (beam position) เวลาในการยิง (dwell time) ความเข้ม(Intensity) และ ขนาด(size) ของลำไออน
Clip VDO ด้านล่างเป็นการแสดงวิธีวาดช้างน้อยลงบนเส้นผมของ  Prof. Hans กับลูกสาว เค้าครับ


อนาคตข้างหน้าประเทศไทยเราอาจมี การประกวดแกะสลักลายไทยบนเส้นผม ก็เป็นไปได้นะครับ

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิทยาศาสตร์ของความรัก (Science of Love)

ถ้าจะพูดถึง หญิงสาวสวย พราวเสน่ห์ เร่าร้อน และร้อนแรง สามารถจะทำอะไรตามใจที่เธอคิด อีกทั้งที่สำคัญ เมื่อเธอสนใจผู้ชายคนไหน เธอก็จะมีวิธีจัดการกับผู้ชายคนนั้น จนได้เค้ามาครอบครองถึงแม้นว่าเค้าจะมีครอบครัวแล้วก็ตาม..... ผู้หญิงคนนั้น เธอชื่อ "เรยา" จากละครเรื่อง ดอกส้มสีทอง ที่กำลังเป็นที่วิพากย์วิจารณ์ อย่างหนักในกระแสสังคมไทยเวลานี้
เราจึงเกิดคำถามหนึ่งว่า เป็นเพราะ ความรักหรือ?ที่ทำให้ผู้ชายหลายคนๆต้องหลงไปกับเธอ แม้นกระทั่งคุณใหญ่ ที่ถือเป็นพ่อพระยังต้องตกหลุมรักเธอหมดใจ   วิทยาศาสตร์มีคำตอบเรื่องความรักครับ

Prof. Helen E. Fisher  จาก มหาวิทยาลัย Rutgers University ประเทศอเมริกาได้ศึกษาเข้าไปในระบบสมอง และอวัยวะภายในของร่างกายต่างๆ จนสามารถ แบ่งช่วงเวลาในการ Falling in Love ได้ทั้ง 3 ช่วงครับ

ช่วงที่ 1: ช่วงเกิดราคะ (Lust)
ช่วงการเกิด กามตัณหา ราคะ เป็นช่วงเริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น เร้าใจเปรียบเหมือนช่วงข้าวใหม่ปลามัน ซึ่งจะเป็นผลมาจาก ฮอร์โมนเพศ 2 ตัว คือ เทสโทสเทอโรน (Testosterone) และเอสโตรเจน (Oestrogen) ฮอร์โมนเพศนี้จะช่วยควบคุมอาการความอยากได้สิ่งต่างๆของเรา ซึ่งอาจมีมากมีน้อยแตกต่างกันไปขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สุขภาพร่างกาย หรือสิ่งเร้าต่างๆ

ช่วงที่ 2: ช่วงเกิดความเสน่หา (Attraction)
ช่วงนี้จะทำให้เราใช้เวลาส่วนใหญ่กับความรักใหม่ที่เกิดขึ้น อาจจะเฝ้ารำพึง รำพัน เพ้อถึงคนรัก หรือที่เรียกว่าโลกนี้เป็นสีชมพูก็ว่าได้ ใครจะพูดอะไร เตือนอะไรเราจะไม่ค่อยฟังมากนัก ช่วงนี้จะถูกควบคุมโดยกลุ่มสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โมโนอะมิเนส (Monoamines) อย่างเช่น
- โดพามีน (Dopamine)  คือสารเคมีที่ช่วยให้สมองตื่นตัว เช่นเดียวกับโคเคอีน และนิโคตีน
-นอร์เอพิเนฟรีน (Norepinephrine) หรือที่รู้จักในชื่อ อะดรีนาลิน (Adrenalin) ทำให้เราเหงื่อแตก หรือหัวใจเต้นเร็ว เมื่ออยู่ใกล้คนที่เรารัก
-เซโรโทนิน (Serotonin) เป็นหนึ่งในสารสำคัญที่ทำให้เราเกิดอาการเศร้า เหงาจิตใจ เพราะความรัก

ช่วงที่ 3: ช่วงความผูกพัน (Attachment)

ไม่มีใครที่จะอยู่ในช่วงที่ 2 หรือช่วงโลกนี้เป็นสีชมพู ได้ตลอดชีวิต ถ้าผ่านพ้นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้าคู่นั้นไม่เลิกกัน ก็จะจับมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ พร้อมที่จะสร้างครอบครับ และใช้ชีวิตยืนยาวด้วยกัน โดยช่วงนี้จะมีฮอร์โมนสองตัวสำคัญทีีปลดปล่อยจากระบบประสาท คือ
- ออกซีโทซิน (Oxytocin) ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับน้ำนมและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมารดา และทารก โดยมีการพบว่าออกซีโทซินจะถูกขับออกมาเมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ลึกซึ้ง ทฤษฎีบอกไว้ว่ายิ่งชายหญิงมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแค่ไหน ความผูกพันก็มีมากขึ้นเท่านั้น
- วาโซเพรสซิน (Vasopressin) เป็นสารเคมีที่สำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้คู่รักมีสัมพันธ์ยาวนานมากขึ้น สารตัวนี้ได้ถูกค้นพบ จากนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพฤษติกรรมความรักของหนูชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าเป็น หนูพวกผัวเดียวเมียเดียว (Prairie Vole) นักวิทยาศาสตร์ได้ลองลดปริมาณสารเคมีตัวนี้กับหนู  ผลปรากฎว่าเมื่อมีหนูตัวอื่นมาตีท้ายครัว กับ แฟนตัวเอง เจ้าหนูแฟนหลวง กลับไม่มีท่าที หึงหวง หรือกระวนกระวายใดๆ

 จากช่วงเวลาของความรักต่างๆ เราจะเห็นได้ว่า มนุษย์ปุธุชน ธรรมดาอย่างเราที่มีความรัก อาจจะต้องตาบอด หูหนวกบ้างกับความรักบ้างเป็นธรรมดา แต่เราก็คงจะไม่หน้ามืด ตาบอดกับความรักที่ลวงหลอกตลอดกาล เพราะฉะนั้นเราลองมาลุ้นกับ บทสรุปของ คุณเรยา จากเรื่องดอกส้มสีทอง กันดูนะครับ ว่าจะมีบทสรุปอย่างไร.....

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

โรคติด Facebook (Facebooklism)

 Social Network ที่กำลังมาแรงที่สุดในยุคนี้คงหนีไม่พ้น Facebook จากข้อมูลสถิติในปัจจุบัน
- มีมากกว่า 500 ล้าน Active Users
- 50% ของ Users เหล่านี้จะมีการ log in ในแต่ละวัน
- โดยเฉลี่ย User แต่ละคนจะมีเพื่อน 130 คน
- ผู้เล่นจะใช้เวลามากกว่า 700 พันล้านนาที ต่อเดือนบน Facebook
ด้านบนนี้ ถือว่าเป็นเพียงสถิติแบบย่อๆ ที่ทำให้รู้ว่า Facebook นั้น Popular มากขนาดไหน แล้วคุณล่ะ คุณกำลังเสพติดมันหรือปล่าว? มี 5 สัญญาณที่ถือว่าคุณอาจจะเป็นโรค Facebooklism ครับ
1. คุณคิดถึงและเปิด  Facebook เป็นอย่างแรกเมื่อเข้า internet
2. คุณใช้เวลากับ Facebook มากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน และต้องคอยเปิดเข้าไปใน Facebook ทุกครั้งที่มีโอกาส มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
3. คุณคอยเช็ค คอยตอบ Comment คอยเฝ้าคน like เพื่อนๆ เหมือนถ้าไม่ได้ทำแล้วจะขาดใจ
4. คุณยอมเทกระเป๋าตังค์เพื่อซื้อ IPhone, Blackberry หรือโทรศัพท์ทัชสกรีนอื่นๆ เพื่อออนไลน์ facebook ได้ทุกที่ทุกเวลา หรือเพื่อเล่นเกมส์ต่างๆ นานาของ Facebook สะสมคะแนนจนได้ครองตำแหน่งแชมเปี้ยน
5. ไม่ว่าคุณจะทำอะไร อาบน้ำ กินข้าว ซื้อของ ดูหนัง ฟังเพลง ทะเลาะกับกิ๊ก โกรธกับแฟน ปวดหัว ไม่สบาย เหงาใจ ฝนตก รถติด คุณก็โพสต์หมด หากมีอาการดังกล่าวแสดงว่าคุณเข้าข่าย Facebooklism  ครับ

ถ้ามีคำถามว่าเมื่อเราติด Facebook แล้วจะมีผลเสีย หรือ แก้ไขมันอย่างไรครับ อันนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลจะจัดการอย่างไรครับ มีข่าวจากต่างประเทศ มีพนังงานที่ติด Facebook จนโดนไล่ออกจากงาน หรือ สส. ที่กำลังประชุมสภาแล้วห่วงเล่นเกมส์ปลูกผัก จนโดนไล่ออกก็มีครับ เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะครับ ว่าจะจัดการมันอย่างไร ของทุกอย่างมีทั้งข้อดี และข้อเสีย  มันอยู่ที่เราเลือกว่าจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ หรือ เป็นโทษ กับตัวเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เปรียบเทียบกำลังรบ ไทยกับเขมร

ช่วงนี้ข่าวใหญ่ของประเทศไทยเรา คงหนีไม่พ้นการรบกันที่บริเวณชายแดนระหว่างไทย กับเขมรนะครับ ปัญหานี้เกิดจากสาเหตุใด คงไม่ต้องไปพูดถึงกัน แต่เราไปเปรียบเทียบข้อมูลทางสถิติแสนยานุภาพของทหารไทย และ กัมพูชากันดีกว่าครับ

images by free.in.th

images by free.in.th

images by free.in.th 
 ประเทศไทยเรายังมี GFP (Global Fire Power) อยู่อันดับที่ 28 ของโลกด้วยนะครับ  ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีกองกำลังเข้มแข็งเลยทีเดียว ถ้าไม่มีการแตกแยกกัน....