วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฉี่ แหล่งพลังงานในอนาคต

        ฉี่จะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรีย (Microbial Fuel Cell)  ที่สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติได้
          เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) คืออะไรลองเข้าไปอ่านที่นี้ได้ที่ Thai Wiki ครับ สำหรับเชื้อเพลิงเเบคทีเรียแบบทั่วไปก็จะประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า Anode และ Cathode และมีเยื่อเลือกผ่าน (membrane) เป็นตัวกั้นอยู่ ลองดูจากภาพด้านล่างครับ ในขั้ว Anode เชื้อเพลิงจะถูกออกซิเดชัน โดยพวกแบคทีเรียซึ่งมันจะทำให้เกิดอิเล็กตรอนและโปรตอนขึ้นมา อิเล็กตรอนจะถูกส่งผ่านไปยังขั้ว Cathode โดยทางวงจรไฟฟ้าภายนอก ส่วน โปรตอนจะไหลไปยังขั้ว Cathode ผ่านตัว Membrane ซึ่งการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าดังกล่าว กับการต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ครบวงจรภายนอก ก็สามารถทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ และเชื้อเพลิงเเบคทีเรีย ก็สามารถสร้างพลังงานได้ตราบเท่าที่ยังมีเชื้อเพลิงป้อนแก่เซลล์ไฟฟ้าอยู่
       นักวิจัย Dr. Ioannis Ieropoulos จากห้องทดลอง Bristol Robotics ของมหาวิทยาลับ Bristol ประเทศอังกฤษ เพิ่งไดรับทุนวิจัย 564,561 ปอนด์ (ราวๆ 28 ล้านบาท) สำหรับโครงการวิจัย 4 ปี ที่จะพัฒนาวิธีการใช้ขยะหรือของเน่าเสียมาสร้างเป็นแหล่งพลังงานให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรีย ใน 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา นักวิจัยได้พัฒนาหุ่นยนต์ชื่อ EcoBot-III ได้สำเร็จ โดยหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถให้พลังงานกับตัวมันเอง โดยการย่อยพวกขยะหรือของเสียต่างๆ ในการทดลองที่ผ่านมา เค้าได้ใช้ผลไม้เน่า, วัชพืชที่ถูกตัดทิ้ง, เปลือกกุ้ง, และแมลงวัน ที่ตายแล้ว มาใช้เป็นแหล่งอาหารให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรีย และเค้าก็กำลังหาของเสียที่ดีที่สุด ในการสร้างพลังงานที่มากกว่าสิ่งของเหล่านี้ และเค้าก็ได้พบคำตอบ สิ่งนั้นก็คือ ปัสสาวะ จริงๆแล้วปัสสาวะก็อุดมไปด้วย Nitrogen, Urea, Chloride, Potassium และ Bilirubin ที่ซึ่งสามารถเป็นแหล่งพลังงานให้กับเซลล์เชื้อเพลิงเเบคทีเรียได้เป็นอย่างดี และเค้าก็ได้ทดสอบเบื้องต้นถึงประสิทธิภาพของปัสสาวะ ว่าสามารถเป็นแหล่งพลังงานได้ดีเลยทีเดียว ต่อไปในอนาคต การปัสสาวะเรี่ยราดตามทางคงหมดไป เพราะการฉี่ 1 ครั้งอาจทำกำไรให้ท่านได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างเป็นพลังงานบริสุทธิ์ได้อีกด้วยครับ....

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 เทคโนโลยีก่อกำเนิด (10 Emerging Technologies) ตอนโทรศัพท์ 3 มิติ (Mobile 3-D)

           ถ้าจะพูดถึงมหาวิทยาลัยผู้นำด้านวิทยาศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ หรือเทคโนโลยีของโลก คงหนีไม่พ้นมหาวิทยาลัย MIT (Massachusette Institute of Technology) ของอเมริกา ในความคิดส่วนตัวของผม MIT เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ด้านเทคโนโลยีของโลกตลอดกาลเลยทีเดียว ขนาดหน้าตาและโลโก้ของ Website ของเค้า ยังมีการ Update และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การดีไซด์ยังกินขาด เข้าไป web MIT บางครั้ง ผมนึกไม่ถึงว่า จะเป็น Web จากมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำครับ.... ที่พูดถึง MIT ก็เพราะเค้ามีวารสารเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Technology Review ซึ่งมี 1 บทความที่น่าสนใจ คือ เค้าได้เลือกเทคโนโลยีมา 10 ชนิดสำหรับในปี 2010 นี้ โดยเทคโนโลยีที่เค้าเลือกมาเค้าจะนิยามมันว่าเป็น  เทคโนโลยีก่อกำเนิด  (Emerging Technologies) เข้าใจแบบชาวบ้านตามประสาอย่างเราก็คือ เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด และจะมีผลกระทบต่อคนจำนวนมากในอนาคตอันใกล้นี้ครับ



       โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Samsung B710 ก็ดูคล้ายๆกับโทรศัพท์ Smart Phone ทั่วไป แต่เมื่อหน้าจอเลื่อนจากแนวตั้งไปแนวนอนสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ภาพจากที่เราเห็นเป็นปกติธรรมดาเปลี่ยนเป็นภาพ 3 มิติทันที (Mobile 3-D)....มหัศจรรย์ยิ่งนัก....Dr. Julien Flack ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ บริษัท Dynamic Digital Depth Inc. เป็นผู้ที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปีสำหรับการคิดค้น Software ที่สามารถเปลี่ยนภาพ 2 มิติให้เป็นภาพ 3 มิติได้ โดยเทคโนโลยีที่เค้าคิดค้น ยังสามารถกำจัดปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการมองภาพ 3 มิติได้ นั่นคือ การไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตา 
 
         โดยปกติทั่วไปที่เราเคยดูหนัง 3 มิติเราจำเป็นต้องใส่แว่นตา ตัวอย่างง่ายสุดถ้าเราจำได้คือการใช้แว่น ที่ด้านหนึ่งเป็นสีแดง อีกด้านหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน และจอภาพที่เราเห็นจะมีสีสันคล้ายๆ สีน้ำเงินกับสีแดง (ภาพที่ฉายเกิดจากกล้องฉายภาพ 2 ตัว ที่ฉายภาพในมุมมองที่แตกต่างกัน) แว่นตาที่เราใส่ จะทำหน้าที่กรองภาพแต่ละสีออกไป ด้านแว่นสีแดงก็จะกรองสีแดงออก แว่นสีน้ำเงินจะกรองสีน้ำเงินออก และเนื่องจาก ภาพที่ฉายหน้าจอมาจากกล้องที่ฉายภาพต่างสีและอยู่ในมุมที่ต่างกันด้วย จึงทำให้ตาแต่ละข้างของเรามองเห็นภาพที่ต่างกัน และเมื่อสมองเรารวมภาพจากตาทั้งสอง จึงทำให้เกิดความลึกตื้นเกิดขึ้น เราจึงเห็นเป็นภาพนูนลอยออกมา แต่สำหรับโปรแกรมดังกล่าวจะเป็นการสังเคาระห์ภาพ 3 มิติ จากภาพ 2 มิติที่ฉายอยู่เลย โดยมันจะสร้างคู่ภาพที่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในหน้าจอ ที่สามารถทำให้สมองเราตีค่าความลึกในแต่ละจุดของภาพนั้นได้ เลยเห็นเป็นภาพลอยออกมาได้นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คถูกที่สุดในโลก



        วงการไอทีสมัยนี้ก้าวไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เทคโนโลยีต่างๆก็โพล่กันเหมือนดอกเห็ด อย่างคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ใช้กันอยู่ เรียกได้ว่าแทบจะตกรุ่นในทุกๆ 1 เดือนก็ว่าได้ แต่สิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราได้ผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดก็คือ "ราคา" ราคาสินค้าบางอย่างก็ลดลงอย่างถล่มทลาย เนื่องจากการแข่งขันห่ำหันกันเองของบริษัทผู้ผลิต อย่างสมัยนี้เราสามารถซื้อมือถือได้ในราคาไม่ถึง 800 บาท ซึ่งราคานี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยในช่วง 5 ปีที่แล้ว ข่าวดีสำหรับวงการไอทีล่าสุดคือ เราก็อาจจะเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คได้ด้วยราคาไม่เกิน 1,200 บาท
           รัฐบาลอินเดียได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าพวกเขาได้พัฒนา คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่มีราคาถูกที่สุดในโลกราคาอยู่ที่ประมาณ 35 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,155 บาท) ซึ่งราคานี้ได้รวมทั้ง หน้าจอ, Mainboard, หน่วยความจำ, ระบบปฎิบัติการ Linux  และส่วนประกอบอื่นๆ คือพูดกันง่ายๆ ซื้อมาปุบใช้ได้ปั๊บ รูปร่างของมันก็มีการออกแบบให้คล้ายกับ iPad  ของบริษัท Apple  ที่ใช้ระบบ Touch screen ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียยังได้มีแผนจะวางจำหน่ายในปีหน้า และจะลดราคาเจ้าตัวนี้อีก ให้เหลือต่ำสุด 10 ดอลลาร์ (ประมาณ 330 บาท) โดยเจ้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนี้ได้ถูกพัฒนาจากกลุ่มวิจัยของมหาวิทยาลัย Indian Institute of Technology และ Indian Institute of Science  Clip VDO เปิดตัวเจ้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนี้ ดูได้จากข้างล่างครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แบตเตอรี่แบบเขย่า

  แบตเตอรี่แบบเขย่า

"แบตเตอรี่ ( ถ่านไฟฉาย) สำหรับรีโมทหมดซะแล้ว ต้องไปซื้อใหม่อีกแล้วหรือเนี๊ย นานๆเราก็กดรีโมทสักที สองที แบตหมดเร็วจัง........" ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปในอนาคตอันใกล้นี้ครับ เราไม่ต้องไปซื้อแบตหรือเสียเวลาไปชาร์ตถ่านกันอีกแล้ว เพียงแค่เราเขย่า เขย่า และเขย่าแบตเตอรี่ แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่เหล่านั้นก็จะกลับคืนมาดังเดิม บริษัท Brother เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย Printer ที่คนไทยรู้จักกัน ได้ผลิตถ่านไฟฉายแบบเขย่าขึ้นมา โดยถ่านไฟฉายแบบเขย่าหรือแบบสั่นชนิดนี้ สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่ใช้กำลังไฟไม่มาก อย่างเช่น รีโมทคอนโทลต่างๆ, หลอด LED หรือไฟฉายขนาดเล็ก เป็นต้น  ข้างในของถ่านไฟฉายชนิดนี้จะมี ขดลวด, แม่เหล็ก เป็นตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้า และ มีคอนเดนเซอร์ คาปาซิเตอร์  เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้า หลักการทำงานของมันก็คล้ายกับตัวไดนาโมที่ติดรถจักรยาน ที่สามารถเป็นแหล่งกำเนิดกับหลอดไฟเวลาเราปั่นจักรยาน  ถ่านไฟฟ้าชนิดนี้สามารถใช้แทนถ่านไฟฟ้าขนาด AA และ AAA ได้ สามารถให้ค่าพลังงาน 3.2 โวลต์หรือน้อยกว่านั้น  การชาร์จของมันจะไม่ขึ้นอยู่ว่าสั่นนานแค่ไหน แต่จะขึ้นอยู่กับความแรงและจำนวนครั้งในการสั่น หรือความถี่ในการสั่นนั้นเอง มันต้องการความถี่ประมาณ 4-8Hz ซึ่งถ้าเทียบกับใส่อุปกรณ์ที่ตัวเรา และเดินปกติ ความถี่จะประมาณ 2Hz เวลาใช้งานเจ้าแบตเตอรี่นี้อาจต้องเขย่าก่อนใช้เล็กน้อย แต่ข้อดีอย่างหนึ่งที่ บริษัท Brother ภูมิใจเสนอคือ การสามารถช่วยลดสารพิษจากพวก Rechargeable แบตเตอรี่ (ถ่านชาร์ต)  และ เทคโนโลยีนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รักษาการนอนกรน


ใครเคยมีประสบการณ์ ได้นอนเคียงข้างกับคนที่นอนกรนกันบ้างครับ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจกันดีว่ามันทรมาณแค่ไหน มีหลายวิธีที่ผู้อ่านคงเคยได้ยินกันมา อย่างเช่น ให้ผู้ชอบนอนกรนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้น หรือให้นอนในท่านอนตะแคง เพราะสามารถช่วยลดการสั่นกระพือของบริเวณโคนลิ้น ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเสียงกรนได้ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้น จะคลายตัวลงไป ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ก็ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก ทำให้เกิดคล้ายการกระพือที่บริเวณโคนลิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงกรน วิธีแก้ไขที่ให้ปรับเปรียบท่าการนอน จึงเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดเสียงกรนได้ แต่ทว่าจะไปจับให้เค้าเปลี่ยนท่านอนทั้งคืน และทุกวันคงเป็นไปไม่ได้..... ทางการแพทย์จึงคิดค้นวิธีที่ใช้รักษาการนอนกรน ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องอัดอากาศความดันต่อเนื่อง เพื่อไปเปิดทางเดินหายใจขณะหลับ, การใช้เครื่องจี้คลื่นความถี่วิทยุ ลงไปในเพดานอ่อนและโคนลิ้น เพื่อให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นหดตัวและขนาดลดลง, การผ่าตัดตกแต่งลิ้นไก่และเพดานอ่อน หรือการรักษาวิธีใหม่ที่น่าสนใจซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และได้ผลดี คือการฝังพิลลาร์ (Pillar) ที่เพดานอ่อน
หลักการทำงานของพิลลาร์ก็แสนจะง่ายครับ เหมือนเราเอาเสาไปฝั่งไว้ที่บริเวณเพดานอ่อน ซึ่งการฝั่งเสาเล็กๆแบบนี้ ก็จะไปช่วยลดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อเพดานอ่อนและโคนลิ้นนั่นเอง ลองดู Clip ข้างล่างได้ครับผม


ประเทศไทยก็สามารถทำได้แล้วนะครับ ใครสนใจก็ลองไปปรึกษาแพทย์ได้เลยครับผม

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พัดลมไม่มีใบพัด

ขึ้นชื่อว่า "พัดลม" หรือที่ใครชอบเรียกว่าแฟน (Fan) ทุกคนคงคิดภาพออกว่าหน้าตาพัดลมจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นพัดลมที่ไม่มีใบพัดล่ะ? ใครเคยเห็นกันแล้วบ้าง.... หลายคนอาจยังไม่เคยเห็น (ภาพด้านบนครับ) เจ้าแฟนแบบไม่มีใบพัดได้ถูกออกแบบโดยบริษัท Dyson จากประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องดูดฝุ่นเลยที่เดียว แล้วมันจะเป่าลมกันยังไงเนี๊ย? วิธีการเป่าลมของมันคือ มันจะดูดอากาศจากตัวฐานเป็นหลัก แล้วส่งผ่านมายังเจ้ารูปวงกลมด้านบน (สีฟ้าๆ ที่รูปใหญ่) โดยไอ้เจ้าวงกลมดังกล่าว ทั้งด้านในและที่ขอบของมันจะเป็นรูปคล้ายๆกับปีกเครื่องบิน ที่สามารถบังคับทิศทางของอากาศให้ไหลผ่านไปยังข้างหน้าด้านมัน และด้วยการออกแบบในลักษณะนี้ จะทำให้มวลอากาศรอบๆตัวมันจากด้านนอก ไหลเข้าไปรวมกับอากาศที่มาจากที่ฐานของมันได้อีก ถือว่าเป็นการเพิ่มแรงลมไปในตัวเลยทีเดียว (ลองดูหลักการทำงานจาก Clip ด้านล่างครับ) บริษัท Dyson ได้เรียกเทคโนโลยีตัวนี้ ว่า Air Multiplier แปลกันตรงๆ อาจแปลได้ว่า ตัวคูณอากาศ ซึ่งมันก็สมกับการตั้งชื่อจริงๆ เพราะกำลังที่มันเป่าออกมาให้เรา มีค่ามากกว่าที่มันดูดเข้าไป 15-18 เท่า แรงกว่าพัดลมธรรมดาที่ใช้กำลังไฟเท่ากันเสียอีก ข้อดีที่สำคัญของเจ้าตัวนี้ คือไม่เป็นอันตรายกับเด็ก และพวกที่ชอบเอานิ้วไปแหย่แฟน (Fan) อีกด้วยนะครับ...

หลักการทำงานของพัดลมที่ไม่มีใบพัดครับ

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มือถือเบาที่สุดในโลก

 

วันนี้ขอเสนอเทคโนโลยีมือถือ จากบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือในประเทศอิสราเอล คราวนี้เป็นมือถือที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก รับรองด้วย กินเนสบุ๊ก ออฟ เวิลด์ เรคคอร์ด มันมีชื่อว่า โมดู (Modu) น้ำหนักมันเพียง  43 กรัม พูดง่ายๆน้ำหนักยังเบากว่าไข่ไก่เสียอีก เจ้าโมดู 1 เป็นตัวที่มีขนาด 72.1 ม.ม. x 37.6 ม.ม.x 7.8 ม.ม. ซึ่งจริงๆแล้วมันเปิดตัวครั้งแรก ที่งาน Mobile World Congress ทีประเทศสเปน ในวันที่ 11 ก.พ. 2008 สองปีมาแล้วครับ โดยเจ้าตัวนี้สามารถ ใช้งานเป็นโทรศัพท์ธรรมดา ส่ง SMS มีบลูทูธ และ เครื่องเล่น MP3  พร้อมหน่วยความจำ 2GB หน้าจอ OLED ขนาด 1.3 นิ้ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 7,300 บาทครับ ไม่แน่ใจว่า ตอนนี้มีขายที่มาบุญครองบ้านเราแล้วหรือยัง แต่สำหรับผู้สนใจ สามารถหาซื้อได้ตามเวปไซด์ในโลกอินเตอร์เนตทั่วไปครับ

ความเสี่ยงจากนาโนเทคโนโลยี


        ปัจจุบันนี้นาโนเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ใครๆต่างก็พูดถึงคำว่า นาโน สินค้าที่ใช้นาโนเทคโนโลยีบางอย่าง ก็อวดอ้างสรรพคุณต่างๆ นาๆ มากมาย อย่างเช่น "ฉันใช้ถุงเท้านาโนนะ ใส่มา 1 อาทิตย์แล้ว ไม่ต้องซักเลย" หรือ บางคนอาจเคยได้ยินว่า "ครีมนาโน ใช้ดีมากๆ ใช้แล้วหน้าทั้งเด้ง และขาวเหมือนลูกปิงปอง" แล้วหนึ่งคำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ "ไอ้เจ้านาโนเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่ล่ะ มันอันตรายกับชีวิตมนุษย์หรือมีผลกระทบกับสภาวะแวดล้อมไหม ?" วันนี้ผมจะเล่างานวิจัยที่เค้าตีพิมพ์ ค้นคว้ากันมานะครับ
หนูผู้น่าสงสาร และ อนุภาคนาโนไทเทเนียม

  ศาสตร์จารย์โรเบิร์ตจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ได้รายงานว่าอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO2) (ที่สามารถพบได้ใน เครื่องสำอางค์ หรือคลีมกันแดด) เป็นสาเหตุในเกิดความผิดปกติของยีนในตัวหนู อนุภาคนาโนไทเทเนียมสามารถเข้าไปสะสมในอวัยวะหลายส่วนของหนูโดยร่างกายจะไม่มีทางกำจัดมันออกได้ และเนื่องจากขนาดที่เล็กจิ๋วของมัน มันจึงสามารถกระจายได้ทุกแห่งในร่างกาย สามารถเข้าไปแทรกซึมในเซลล์ และไปรบกวนกลไลการทำงานของระบบบเซลล์ต่างๆ  ในการศึกษาของศาสตร์จารย์โรเบิร์ตแสดงให้เห็นว่า ถ้าหนูดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของอนุภาคนาโนไทเทเนียม ในวันที่ห้า อนุภาคนาโนไทเทเนียมดังกล่าว จะเริ่มทำลายยีนของหนู เมื่อเทียบเท่ากับมนุษย์คือ เราเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอนุภาคนาโนไทเทเนียมประมาณ 1 ปีครึ่ง

ท่อนาโนคาร์บอน

      ท่อนาโนคาร์บอนเป็นหนึ่งในวัสดุยอดฮิตที่นำไปใช้งานในห้องทดลอง หรือไปประยุกต์การใช้งานจริง เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษหลายประการของมัน  แต่การสูดดมมันเข้าไป ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างชัดเจน ในวารสาร ชื่อ  Nature Nanotechnology (ซึ่งถือว่าเป็นวารสารที่มีผลกระทบด้านนาโนต่อชาวโลกมากที่สุด Impact factor ด้านนาโนสูงสุด) เพียงการสูดดมครั้งแรก ท่อนาโนคาร์บอนจะส่งผลกระทบกับเยื่อหุ้มปอดของหนูทันที การค้นพบครั้งนี้ยังเป็นที่กังวลว่า หากสูดดมท่อนาโนคาร์บอนติดต่อกันอาจทำให้เป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดได้ 

นาโนซิลเวอร์ และนีโมกับพ้องเพื่อน

          ผ้าที่เคลือบด้วยนาโนซิลเวอร์ (Nanosilver) สามารถขจัดความชื้นและระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ทดสอบปริมาณการปลดปล่อยอนุภาคนาโนซิลเวอร์ที่อยู่ในเนื้อผ้าภายหลังการซักทำความสะอาด ผลปรากฏว่าภายหลังการซักครั้งแรก ค่าของการปลดปล่อยอนุภาคนาโนซิลเวอร์อยู่ที่ประมาณ 1.3 ถึง 35 % เลยทีเดียว การปลดปล่อยอนุภาคนาโนซิลเวอร์ดังกล่าวอาจจะไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ แต่อนุภาคโลหะที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นสามารถส่งผลกับสัตว์น้ำจืดและน้ำเค็ม เป็นสาเหตุที่ทำให้ปลาเพิ่งเกิดใหม่ตายได้เลยทีเดียว และมันอาจจะส่งผลต่อระบบนิเวศทางชีวภาพได้ในระยะยาว 
         จนถึงปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดแจ้ง สำหรับอันตรายของอนุภาคนาโนต่อมนุษย์โดยตรง งานวิจัยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการทดสอบกับสัตว์ทดลอง เช่น หนู เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรจากการศึกษาด้านบนทำให้เราเชื่อได้ว่าอนุภาคนาโนสามารถเข้าไปทางร่ายกายจากการหายใจ และเข้าไปสะสมในปอดเราได้แน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนาโนทั้งหลาย เราต้องมั่นใจว่าผลิตภัฑณ์ต้องไม่ปลดปล่อยอนุภาคนาโนมาสู่ตัวเรา หรืออาจจะปลดปล่อยแต่ควรเป็นปริมาณที่น้อยที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หม้อหุงขนมปังจากข้าวสารเครื่องแรกของโลก

บริษัท SANYO Electric ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัว หม้อหุงขนมปังจากข้าวสาร เครื่องแรกของโลก ที่มีชื่อว่า เจ้าโกปัง (Gopan) โดยคาดว่าจะออกสู่ตลาดในเดือน ตุลาคมนี้ ราคาเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 17,500 - 21,000 บาท

เจ้าโกปัง หน้าตาเป็นอย่างนี้ นี้เอง
เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามการบริโภคข้าวภายในประเทศญี่ปุ่นในเวลานี้ ได้ลดลงถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เนื่องจากชาวญี่ปุ่นได้รับประทานอาหารที่หลากหลายยิ่งขึ้น  บริษัท SANYO Electric ของประเทศญี่ปุ่น  จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีตัวหนึ่งขึ้นมา เพื่อช่วยกระตุ้นให้ชาวญี่ปุ่นหันมาบริโภคข้าวให้มากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในเครื่องที่ถูกพัฒนานั้นมีชื่อว่า เจ้าโกปัง (Gopan) ที่สามารถหุงขนมปังจากข้าวสารได้   นับเป็นเครื่องที่ทำขนมปังจากข้าวสารแบบออโตเมติกเครื่องแรกของโลกเลยทีเดียว


วิธีการใช้งานเจ้าเครื่องดังกล่าวง่ายมากคือ ใส่ข้าวสารล้างสะอาด 220 กรัม, น้ำ 210 กรัม, เกลือ 4 กรัม , น้ำตาล 16 กรัม และ เนยขาว 10 กรัม ลงในถาดขนมปังของเครื่อง แล้วใส่ กลูเตน 50 g (เป็นโปรตีนที่สกัดจากแป้งสาลี เพื่อช่วยให้เนื้อขนมปังขึ้นตัวเร็ว เนื้อนุ่ม เรียงตัวได้ดี) กับ ยีสต์ 3 กรัมในช่องด้านบน หลังจากนั้นกดสวิตซ์ Start เจ้าโกปังจะบดเมล็ดข้าวให้เป็นแป้ง ผสมกับส่วนผสมต่างๆ นวดแป้ง อบ จนได้ขนมปังที่แสนอร่อยภายในเวลา 4 ชั่วโมง มากกว่านั้นเจ้าเครื่องดังกล่าวยังสามารถทำขนมปังได้อีกหลายแบบ แบบที่ไม่ต้องใส่ กลูเตน ก็ยังทำได้อีกด้วยครับ


Clip ของเจ้าเครื่องหุงขนมปังครับ

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพลวงตา



มองดูจากภาพด้านบนแล้ว สี่เหลียมที่ตำแหน่ง A และสี่เหลี่ยมที่ตำแหน่ง B เป็นสีเดียวกันรึปล่าวครับ ?.....ผมมองเห็นเป็นคนละสีกัน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสีเดียวกัน ลอง Print สี ภาพด้านบน แล้วตัดสี่เหลี่ยม A และ สี่เหลี่ยม B มาเปรียบเทียบกันครับ แล้วจะเห็นถึงความมหัศจรรย์ของมัน แต่ว่าทำไมเราถึงมองเห็นเป็นคนละสีได้ล่ะ?    Prof. Edward Adelson จากมหาวิทยาลัย MIT สหรัฐอเมริกา เป็นผู้คิดค้นและอธิบายปรากฏการลวงตาครั้งนี้ครับ  Prof. Edward ได้กล่าวว่า  ในกรณีภาพตารางหมากรุกด้านบน ปัญหาอยู่ที่การตัดสินเฉดสีเทาของตารางหมากรุกบนพื้นห้อง  การวัดปริมาณแสง (ความสว่าง) ที่มาจากพื้นผิวไม่เพียงพอ เงาที่ทอดยาวไปที่ตรงกลางตารางหมากรุก จะช่วยปกคลุมพื้นผิวไว้ พื้นผิวสีขาวที่อยู่ในเงามืดอาจจะสะท้อนแสงน้อยกว่าพื้นผิวมืดที่อยู่ในที่สว่าง  ในขณะที่ระบบการรับรู้แสงหรือความสว่างของคนเราไม่ดีมากนัก สมองเราเลยใช้เทคนิคในการรับรู้หลายอย่าง เช่น การเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่รอบตัวมันแทน ตารางหมากรุก B ซึ่งล้อมรอบด้วยตารางหมากรุกที่สีเข้มกว่า ในขณะที่ตารางหมากรุก A ถูกล้อมด้วยตารางหมากรุกที่สีอ่อน จึงทำให้ดูว่าตารางหมากรุก A มีสีเข้มกว่า B อีกทั้งรูปร่างของตารางหมากรุกเป็นขอบคมที่ชัดเจน ทำให้ระบบรับรู้ทางสายตาของเรา ละเลยการเปลี่ยนแปลงของระดับแสง ที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนทำให้เราแยกความสว่างไม่ได้ครับ...
เพราะฉะนั้น บางครั้งสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า อาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงก็ได้นะครับ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย

เหตุผลในการที่จะเริ่มคิดค้นยาคุมกำเนิดในผู้ชาย ก็เนื่องจากว่า ในปัจจุบันการคุมกำเนิดของผู้ชาย ก็มีเพียงแค่ การใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งค่อนข้างจะได้ผลดีระดับหนึ่ง ป้องกันการติดเชื้อเอดส์ และเป็นที่นิยมในชายที่ไม่ค่อยจะซื่อสัตย์ต่อภรรยาอันเป็นที่รักนัก แต่ถ้าในกรณีที่สามีที่แสนดีมีสตรีเพียงนางเดียว ก็คือ คนที่แต่งงานและเป็นแม่ของลูก คงไม่แฮปปี้นักที่จะต้องใช้ถุงยางคุมกำเนิดกับภรรยาตนเอง เพียงเพื่อป้องกันการมีบุตร จึงต้องมีการทำหมันชายแทน ซึ่งแบบนี้นอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ยังเป็นการทำหมันถาวร ซึ่งการแก้ไขเมื่อต้องการจะมีบุตรอีกจึงเกิดได้ยากและค่าใช้จ่ายสูง จึงเป็นที่มาของความคิดในการคิดค้น ผลิตยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ายาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับ ผู้ชาย ในช่วงแรกๆ ได้ทดลองทำให้ฤทธิ์ยาสามารถยับยั้งมิให้สมองหลั่งฮอรโมนเพศชายที่สำหรับสร้างสเปิร์ม หรือฮอรโมนที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังระวัง หรือหวั่นๆ เรื่องสมรรถภาพทางเพศจะถูกรบกวนด้วย ต่อมาได้ค้นคว้าหาตัวยาที่อาศัยกลไกอื่น ที่ไม่ต้องเกี่ยวกับฮอรโมนเพศชาย ซึ่งพบว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งนำโดย Dr. Aarnoud C van der Spoel จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ของอเมริกา ได้ค้นพบว่ามีตัวยาชื่อ NB-DNJ ( N-butyldeoxynojimycin) ซึ่งใช้รักษาโรคผิดปกติทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่ชื่อ Guacher diseases แล้วพบว่าผู้ชายที่รักษาโรคด้วยยาตัวนี้ เกิดเป็นหมันชั่วคราวโดยไม่กระทบต่อระดับฮอรโมนเพศชาย Testosterone
จนถึงปัจจุบันนี้ นักวิจัยในอิสราเอลได้สามารถผลิตยาเม็ดที่สามารถยับยั้งการทำงานของตัวสเปิร์มก่อนที่มันจะเข้าไปในรังไข่ได้สำเร็จ โดยยาเม็ดชนิดนี้จะไปกำจัดโปรตีนชนิดหนึ่งในตัวสเปิร์มที่จำเป็นต่อการตั้งการครรภ์ของผู้หญิง ดังนั้นตัวสเปิร์มยังคงเข้าไปถึงมดลูก แต่ไม่สามารถผสมพันธุ์กับไข่ได้ Professor of Haim Breitbart ของ มหาวิทยาลัย Bar-Ilan ยังได้ทดสอบกับหนูพบว่า เมื่อหนูรับยาตัวนี้ในปริมาณหนึ่งจะสามารถเป็นหมันชั่วคราวได้ 1 เดือน ในขณะที่เมื่อให้ปริมาณที่สูงขึ้นหนูทั้งหมดจะมีระยะเป็นหมันชั่วคราวได้เพิ่มขึ้น 3 เดือน โดยไม่พบว่าผลข้างเคียงใดๆ พฤษติกรรมทางเพศสัมพันธ์ของหนูก็ยังคงเดิม แต่อย่างไรก็ตาม เค้าจะเริ่มทดสอบกับมนุษย์ภายในปีหน้า เพื่อศึกษาผลกระทบต่างๆ ก่อนนำมาสู่ท้องตลาด   อนาคตอันใกล้นี้ ผู้ชายคงต้องรับหน้าที่การป้องกันการตั้งครรภ์บางแล้วครับ แต่ต้องจำไว้ว่า ยาตัวนี้ไม่ได้ป้องกันการเกิดโรคนะครับ.....เพราะฉะนั้นการรักเดียวใจเดียว และมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเราแค่คนเดียวจะเป็นการดีที่สุดครับผม.....